วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาช้างเร่ร่อน - หลังรถบรรทุกช้างตกเขาเจ็บสาหัส

บุรีรัมย์ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาช้างเร่ร่อน - หลังรถบรรทุกช้างตกเขาเจ็บสาหัส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤษภาคม 2552 19:53 น.

นายเหมา ทรัพย์มาก ผญบ.หมู่บ้านช้าง จ.บุรีรัมย์
บุรีรัมย์ - ผญบ.หมู่บ้านช้างบุรีรัมย์สลดใจ
รถบรรทุกช้างเกิดอุบัติเหตุที่จ.สระแก้วช้างได้รับบาดเจ็บสาหัส
เรียกร้องรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนเกรงเกิดปัญหาซ้ำรอย
เผยช้างในหมู่บ้านกว่า 60 เชือก ออกตระเวนเร่ร่อนรับจ้าง
หารายได้ตามจังหวัดต่างๆ

วันนี้ ( 29 พ.ค.) นายเหมา ทรัพย์มาก ผู้ใหญ่บ้าน บ.โพนเงิน
ซึ่งเป็นหมู่บ้านช้างบุรีรัมย์ ต.ท่าม่วง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
รู้สึกสลดใจหลังทราบข่าวรถบรรทุกช้างไปประสบอุบัติเหตุที่ อ.ตาพระยา
จ.สระแก้ว เป็นเหตุให้ช้างได้รับบาดเจ็บสาหัส
กรณีดังกล่าวจึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนอย่าง
จริงจัง เกรงว่าจะเกิดเหตุสลดซ้ำรอย
เพราะขณะนี้ช้างในหมู่บ้านที่มีอยู่จำนวน 67 เชือก
ควาญช้างได้นำออกไปตระเวนรับจ้างตามแหล่งท่องเที่ยวเร่ร่อนขายกล้วยอ้อย
ตามจังหวัดต่างๆ กว่า 60 เชือก มีเหลือในหมู่บ้านเพียง 3 เชือกเท่านั้น

ทั้งนี้ทางภาครัฐไม่ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาช่วยเหลือควาญช้าง
และช้างเลี้ยงอย่างจริงจัง
ควาญช้างจึงจำเป็นต้องนำช้างออกไปเร่ร่อนเพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบ
ครัวและซื้ออาหารเลี้ยงช้างเพื่อความอยู่รอด
เพราะแต่ละวันช้างจะกินอาหารเชือกละประมาณ 400 -500 กิโลกรัม

ที่ผ่านมาเคยเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไข
ปัญหาช้างเร่ร่อนเพื่อช่วยเหลือช้างและควาญช้าง
แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลอย่างจริง
จัง จึงจำเป็นต้องนำช้างออกไปเร่ร่อน
เพราะหากไม่พาช้างออกไปเร่ร่อนหรือแสดงตามงานต่างๆ
ก็คงไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัวและซื้ออาหารให้ช้างกิน
ต้องอดตายทั้งคนและช้างอย่างแน่นอน

"ขอเรียกร้องให้รัฐบาล
จัดสร้างสวนช้างช้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อให้ช้าง
และควาญช้างมีรายได้เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน
หากไม่เช่นนั้นปัญหาช้างเร่ร่อน และการเกิดอุบัติเหตุกับช้าง
ก็จะยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง" นายเหมา กล่าว

บุรีรัมย์พบผู้ต้องสงสัยป่วยโรคชิคุนกุนยา 3 ราย

บุรีรัมย์ - จ.บุรีรัมย์
พบผู้เข้าข่ายต้องสงสัยป่วยด้วยโรคชิคุนกุนยาแล้ว 3 ราย
หลังเดินทางกลับจาก จ.สงขลา
ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจยืนยันจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์
จ.นครราชสีมา และ 1 ใน 3 ราย ยังนอนรักษาตัวอยู่ใน รพ.ละหานทราย

วันนี้ (28 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดบุรีรัมย์
พบผู้เข้าข่ายต้องสงสัยป่วยด้วยโรคชิคุนกุนยา อยู่ที่ อ.ละหานทราย จำนวน
3 ราย หลังเดินทางกลับจาก จ.สงขลา ซึ่งล่าสุดได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว 2
ราย และขณะนี้ได้เดินทางไปทำงานที่ จ.สงขลา และ จ.นครปฐม แล้ว ส่วนอีก 1
ราย ยังนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลละหานทราย
และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 ราย ที่เข้าข่ายต้องสงสัยดังกล่าว
ทางสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างน้อย 14 วัน
และขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจยืนยันจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์
จ.นครราชสีมา

ขณะที่สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้สั่งกำชับให้สาธารณสุขอำเภอ
และสถานีอนามัยทุกตำบล ร่วมกับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ออกรณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพั นธ์ลุกน้ำยุงลาย
ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อโรคไข้เลือดออก และโรคชิคุนกุนยา
มาแพร่ระบาดสู่คนซึ่งล่าสุดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทั้งจังหวัดแล้วกว่า
60 ราย แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

นางนิภา สุทธิพันธ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 ชำนาญการพิเศษ
ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ทั้ง 3 ราย
ที่เข้าข่ายต้องสงสัยป่วยด้วยโรคชิคุนกุนยานั้น
เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจาก จ.สงขลา และมีอาการป่วยไข้สูง ปวดตามข้อ
จึงต้องมีการเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 14 วัน
และต้องรอผลตรวจยืนยันจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา
ให้แน่ชัดอีกครั้งด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์เร่งเสริมสร้างศักยภาพผู้เฒ่าทุกอำเภอ ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่รุ่นหลัง

ดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2552 14:38 น.
บุรีรัมย์ - ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบุรีรัมย์
อบรมเร่งเสริมสร้างความรู้และฝึกทักษะผู้สูงอายุที่มีศักภาพด้านภูมิปัญญา
ท้องถิ่นทุกอำเภอกว่า 200 คนได้ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ภูมิปัญญาต่างๆ
แก่เด็กเยาวชนรุ่นหลังและชาวบ้านในชุมชนให้ร่วมกันอนุรักษ์สืบทอดต่อไป
พร้อมส่งเสริมสร้างอาชีพ และรายได้ให้ผู้สูงอายุ

วันนี้ (28 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบุรีรัมย์
จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุที่มีศักยภาพด้านภูมิปัญญา
โดยมีตัวแทนผู้สูงอายุ จาก 23 อำเภอ ทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ กว่า 220
คนเข้าร่วมอบรม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ฝึกทักษะการถ่ายทอดความรู้
ประสบการณ์ด้านภูมิปัญญาต่างๆ ให้แก่เด็ก
เยาวชนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าและร่วมกันอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมด้านอาชีพและรายได้ให้กับผู้สูงอายุในการเป็นวิทยากร
ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านภูมิปัญญาดังกล่าวด้วย

นอกจากนั้นยังมีการรวมกลุ่มชมรมภูมิปัญญาผู้สูงอายุเพื่อช่วยเหลือ
สมาชิกชมรม ซึ่งขณะนี้จังหวัดบุรีรัมย์ได้มีการขึ้นทะเบียนชมรมภูมิปัญญาผู้สูงอายุแล้ว
26 กลุ่ม สำหรับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ทางศูนย์ฯ
จะมีการส่งเสริมเรื่องการออมเงินวันละ 1 บาท
เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนและยังเป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้
ประชาชน เด็ก และเยาวชนได้รู้จักการใช้ชีวิต
ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอีกทางหนึ่งด้วย

นางไพรวรรณ พลวัน
ผู้อำนวยการศูนย์การจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบุรีรัมย์ กล่าวว่า
การจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มทักษะความรู้
และซักซ้อมเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากรไปถ่ายทอดประสบการณ์ด้าน
ภูมิปัญญาต่างๆ แก่เด็ก เยาวชน หรือชาวบ้านในชุมชน
เพื่อร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ทั้งส่งเสริมสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000059807

จำนำข้าวนาปรังบุรีรัมย์เหลวกว่า 2 เดือนแค่ 367 ตัน

บุรีรัมย์ - เปิดโครงการรับจำนำข้าวนาปรังตั้งแต่
มี.ค.จนถึงขณะนี้นานกว่า 2 เดือน มีเกษตรกรสนใจมาเข้าร่วมโครงการเพียง 66
รายเท่านั้น ปริมาณข้าวเพียง 367 ตัน จากพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง18 อำเภอ
กว่า 24,000 ไร่ผลผลิตรวม 1.3 หมื่นตัน คาดชาวนาไม่ทราบ จ.บุรีรัมย์
เปิดรับจำนำข้าวนาปรังเป็นปีแรก แห่นำข้าวไปขายโรงสีในราคาถูกแทน

วันนี้ (27 พ.ค.) นายพงษ์ศักดิ์ วรวงษ์
การค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
หลังเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ตั้งแต่ 16
มี.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ นานกว่า 2
เดือนมีเกษตรกรสนใจนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการเพียง 66 ราย รวมปริมาณข้าว
367 ตันเท่านั้น จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังใน 18 อำเภอ รวมกว่า 24,000
ไร่ มีผลผลิตประมาณ 13,000 ตัน

ทั้งนี้ สาเหตุที่เกษตรกรสนใจนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการน้อย
อาจเพราะส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ามีโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง เนื่องจากปีนี้
จ.บุรีรัมย์ เพิ่งเปิดรับจำนำข้าวนาปรังเป็นปีแรก
เกษตรกรบางส่วนจึงได้นำข้าวไปขายให้กับโรงสีก่อนหน้านี้แล้ว
ในราคากิโลกรัมละ 8-9 บาท ขณะที่ราคารับจำนำอยู่ที่กิโลกรัมละ 11.80 บาท
ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขายในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม
คาดว่าก่อนสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31
ก.ค.นี้จะมีเกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการรับจำนำเพิ่มอีก

"ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนและมีฝนตกชุกในหลายพื้นที่
ซึ่งเป็นปัญหากับเกษตรกรที่อยู่ระหว่างเก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง
ทำให้ข้าวมีความชื้นสูง ดังนั้น
หลังเก็บเกี่ยวเกษตรกรควรนำข้าวไปตากให้แห้ง ก่อนนำไปเข้าร่วมโครงการฯ
หรือนำไปขายยังท้องตลาด เพื่อป้องกันการถูกหักเปอร์เซ็นต์ความชื้น
ทำให้ได้ราคาต่ำ" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

คนบุรีรัมย์แห่ซื้อผลไม้พยุงราคาช่วยชาวสวนตะวันออก

บุรีรัมย์ - ชาวบุรีรัมย์แห่ซื้อผลไม้ ที่การค้าภายในจังหวัดฯ
นำมาจำหน่าย เพื่อพยุงราคาช่วยเหลือชาวสวนภาคตะวันออกที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำ
พร้อมจ่ายเงินชดเชยค่าน้ำมันให้กับพ่อค้าแม่ค้า
ที่ไปรับซื้อผลไม้จากจุดรวบรวมตามโครงการฯมาจำหน่ายเที่ยวละ 4,500 บาท

วันนี้ (27 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนที่ จ.บุรีรัมย์
ได้พากันมาซื้อผลไม้เงาะ มังคุด ที่สำนักงานการค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์
รับซื้อจากชาวสวนในภาคตะวันออก
มาจำหน่ายที่บริเวณถนนหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ตามโครงการ
"รณรงค์บริโภคผลไม้ไทย เพื่อคนไทยในภาคตะวันออก"
เพื่อพยุงราคาช่วยเหลือชาวสวนผลไม้หลังประสบปัญหาราคาตกต่ำและเป็นการช่วย
เหลือผู้บริโภคให้ได้บริโภคผลไม้ในราคาถูก

เงาะจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 15 บาท มังคุด กิโลกรัมละ 18 บาท
ถูกกว่าราคาตามแผงลอย และท้องตลาด ซึ่งจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 20-25
บาท อีกทั้งหากพ่อค้าแม่ค้ารายใดไปรับซื้อผลไม้ยังจุดรวบรวมที่กรมการค้าภายใน
กำหนดไว้ ในจังหวัดภาคตะวันออก ตั้งแต่ 2,500 กิโลกรัมขึ้นไป
พ่อค้าแม่ค้าจะได้รับเงินชดเชยค่าน้ำมันกิโลกรัมละ 1 บาท

นายพงษ์ศักดิ์ วรวงษ์ การค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
ทางสำนักงานการค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์ จะรับซื้อผลไม้มาจำหน่ายวันละ
2,500 กิโลกรัมโดยไม่มีกำหนด
จนกว่าราคาผลไม้ของเกษตรกรในจังหวัดทางภาคตะวันออกจะสูงขึ้นอยู่ในจุดคุ้ม
ทุน ซึ่งการนำผลไม้มาจำหน่ายได้รับความสนใจจากประชาชนชาวบุรีรัมย์มาซื้อไป
บริโภคเป็นจำนวนมาก

อุตฯบุรีรัมย์เร่งจัดระเบียบโรงงาน ก่อมลภาวะกระทบชุมชน

บุรีรัมย์ - อุตสาหกรรมจ.บุรีรัมย์ เร่งจัดระเบียบมลภาวะโรงงานอุตฯ
ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
พร้อมสร้างเครือข่ายร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
หลังที่ผ่านมามีชาวบ้านร้องเรียนได้รับความเดือดร้อนจากมลภาวะทางเสียง
ฝุ่นละออง น้ำเสีย และกลิ่น

นายสมบูรณ์ มณีท่าโพธิ์ อุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เร่งจัดระเบียบมลภาวะทางเสียง
ฝุ่นละออง น้ำเสีย และกลิ่น ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
เช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าพลังแกลบ โรงสีข้าว โรงงานสุรา โรงงานน้ำตาล
โรงโม่หิน และโรงงานดูดทราย ที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัดกว่า 440 แห่ง
พร้อมสร้างเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม

การนำเจ้าหน้าที่ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)เทศบาล กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ประกอบการโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่
และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
เข้ามาพูดคุยเสนอปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน
เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข
พร้อมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทภารกิจในการควบคุมดูแลด้านสิ่ง
แวดล้อม ให้ความรู้ด้านข้อกฎหมาย
และศึกษาดูงานโรงงานต้นแบบที่มีระบบกำจัดมลภาวะผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
ตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย
เพื่อนำไปปรับใช้ในสถานประกอบการของตนเอง
โดยตั้งเป้าจะสร้างเครือข่ายให้ครบทุกอำเภอ
เพื่อลดปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับมลภาวะที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชน

"ที่ผ่านมามีชาวบ้านร้องเรียนได้รับความเดือดร้อน
จากโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลภาวะฝุ่นละอองมากที่สุด
ซึ่งก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ พร้อมตรวจวัดปริมาณฝุ่นละออง
พบเกินค่ามาตรฐานหลายแห่ง จึงได้ทำการตักเตือน และให้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว
แต่หากพบว่าสถานประกอบการใดยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศของกระทรวง
อุตสาหกรรม ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด" นายสมบูรณ์ กล่าว

อุตฯ บุรีรัมย์เร่งพัฒนาผู้ประกอบฝ่าวิกฤต ศก.

บุรีรัมย์ - อุตฯ บุรีรัมย์ ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่
6 จ.นครราชสีมา เร่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่
จ.บุรีรัมย์ เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
จนทำให้สถานประกอบการบางแห่ง ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงาน

วันนี้ (26 พ.ค.) นายสมบูรณ์ มณีท่าโพธิ์
อุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ได้ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่
6 จ.นครราชสีมา จัดอบรมผู้ประกอบธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่
ในโครงการพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม
ซึ่งได้มีผู้ประกอบการแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการ 35 แห่ง จากที่
จ.บุรีรัมย์ มีผู้ประกอบธุรกิจมาขึ้นทะเบียนไว้จำนวน 446 ราย
หลังได้รับผลกระทบจากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

การจัดอบรมสัมมนาในครั้งนี้
เพื่อเป็นการเสริมสร้างศักยภาพปรับกลยุทธ์ให้กับผู้ประกอบการ
ทั้งด้านการจัดการบริหารธุรกิจ บริหารจัดการบุคคล การเงิน การบัญชี
การตลาด รวมไปถึงการเจรจาต่อรองเชิงธุรกิจ
พร้อมทั้งผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
เพื่อนำไปปรับใช้ในการประกอบธุรกิจ
และแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

การอบรมสัมมนาจะจัดขึ้น ในวันที่ 29 พ.ค.ที่โรงแรมเทพนคร อ.เมือง
จ.บุรีรัมย์ มีระยะเวลาการประชุมสัมมนารวมทั้งสิ้น 20 วัน
หากผู้ประกอบการทั้งรายเก่า รายใหม่ หรือทายาทนักธุรกิจ
ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามขอรายละเอียดได้ ที่
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดได้ทุกวันทำการ

"ในช่วงเกิดสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา
ได้มีผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง ที่มีแรงงานอยู่กว่า 100 คน
ได้รับผลกระทบปิดกิจการไป 3 ราย เป็นธุรกิจประเภทตัดเย็บเสื้อผ้า
และตัดเย็บรองเท้า เนื่องจากถูกตัดออเดอร์ส่งออก
จึงส่งผลทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการ
หรือลดจำนวนแรงงานลงเพื่อความอยู่รอด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า
การจัดสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบธุรกิจได้เป็นอย่างดี"
นายสมบูรณ์ กล่าว

บุรีรัมย์เปิดไกล่เกลี่ยลูกหนี้ "ธนาคารประชาชน"-โครงการหาเสียงยุค "นช.แม้ว"

บุรีรัมย์ - ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกับ "ธ.ออมสิน"
เปิดไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทก่อนฟ้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
สำหรับลูกหนี้ใน "โครงการธนาคารประชาชน" นโยบายหาเสียงของรัฐบาลยุค
"นช.แม้ว" ที่ค้างชำระอื้อกว่า 230 ราย
เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้เจรจาตกลงกับธนาคาร
ซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรงก่อนมีการฟ้องร้อง ลดจำนวนคดีขึ้นสู่ศาล

วันนี้ (27 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ร่วมกับ ธนาคารออมสิน เปิดโครงการ "ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทก่อนฟ้อง"
ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.นี้
เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ใน "โครงการธนาคารประชาชน" ตามนโยบายรัฐบาล ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังค้างชำระเงินกู้ อยู่กว่า
230 ราย ได้เข้ามาเจรจาตกลงกับทางธนาคารออมสิน
ซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรงก่อนจะมีการฟ้องคดี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หรือค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น

โครงการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้เอง
เพราะสามารถมาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
ให้เหมาะสมกับฐานะทางการเงินของลูกหนี้
ทั้งยังเป็นการรักษาความน่าเชื่อถือในสถานะทางการเงินของลูกหนี้ด้วย
โดยการเจรจาระหว่างธนาคารกับลูกหนี้ดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ประนีประนอมประจำ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
เป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติเป็นที่พึงพอใจของคู่กรณีทั้งสอง
ฝ่าย ซึ่งการเปิดไกล่เกลี่ยในวันแรก
มีลูกหนี้สนใจมาเข้าร่วมโครงการหลายราย

นายวิวุฒิ มณีนิล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
โครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่ทางศาลจังหวัดฯ
ได้ร่วมกับธนาคารออมสินจัดขึ้น
เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่เป็นลูกหนี้
รวมถึงผู้ค้ำประกันในโครงการธนาคารประชาชน
ได้เข้าสู่ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ให้มีการเจรจาตกลงแนวทางในการยุติข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีต่อศาล

นอกจากลูกหนี้จะได้รับโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมแล้ว
ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งค่าธรรมเนียมศาล
และค่าทนายความใดๆ แต่หากมีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว
ลูกหนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งค่าธรรมเนียมศาล และค่าทนายความเองทั้งหมด
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง

ดังนั้น จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ที่ค้างชำระเงินกู้ในโครงการธนาคารประชาชน
ได้เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยดังกล่าว
ซึ่งนอกจากจะทำให้ข้อพิพาทระงับลงด้วยความพึงพอใจของทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้
แล้ว ยังเป็นการลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลในอีกทางหนึ่งด้วย

ด้าน นางโศภิต ไชยณรงค์ ผู้อำนวยการเขตธนาคารออมสิน สาขาบุรีรัมย์
เปิดเผยว่า ปัญหาที่ลูกหนี้ในโครงการธนาคารประชาชนค้างชำระเงินกู้
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจค้าขาย
ไม่มีกำไร ทำให้ไม่มีเงินมาชำระหนี้
ทางธนาคารจึงได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องขึ้น
เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ได้เข้ามาเจรจาประนอมหนี้
โดยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ทั้งนี้
ธนาคารอาจมีการผ่อนผันปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ในบางส่วนด้วย

"หากลูกหนี้รายใดที่สนใจต้องการเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ย
สามารถไปติดต่อที่ธนาคารออมสิน สาขาบุรีรัมย์ ได้ตั้งแต่วันนี้
ไปจนถึงวันที่ 15 มิ.ย.นี้
แต่หากลูกหนี้รายใดยังเพิกเฉยไม่เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย
ธนาคารจะดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป" นางโศภิต กล่าว

สวท.บุรีรัมย์เปิดเสวนาดึงภาค ปชช.มีส่วนร่วมจัดทำรายการ

บุรีรัมย์ - สวท.บุรีรัมย์ เปิดเวทีสานเสวนาประชาชน
เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ความต้องการ
เสนอแนะ ในการจัดทำรายการวิทยุท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกด้าน
และทุกกลุ่มเป้าหมาย

วันนี้ (27 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.บุรีรัมย์ จัดเวทีสานเสวนาประชาชน
โดยมีภาคประชาชนจากหลายกลุ่ม เข้ามาร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็น ความต้องการ
และข้อเสนอแนะในครั้งนี้
ทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะทำงาน
ในการดำเนินรายการวิทยุท้องถิ่น ในรูปแบบบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม

รวมทั้งเข้ามาร่วมจัดและผลิตรายการให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
ให้ตรงตามความต้องการของประชาชนในทุกด้านโดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน
ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มเกษตร กลุ่มศิลปวัฒนธรรม
และกลุ่มภูมิปัญญาชาวบ้าน
เพื่อให้การดำเนินรายการวิทยุท้องถิ่นเป็นไปตามเป้าหมายครอบคลุมทุกกลุ่มผู้
ฟัง

นางอุษณา สุปินานนท์
ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า
การจัดเวทีสานเสวนาดังกล่าว
เพราะทางสถานีต้องการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำ
รายการวิทยุ หากกลุ่มเป้าหมายใดยังขาดหายทางสถานีก็จะจัดสรรเวลาให้กลุ่มเป้าหมายนั้น
เข้ามาร่วมจัดทำรายการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์กำชับสถานศึกษาดูแลปัญหาเด็กนร.ติดเกม

บุรีรัมย์ - หลังเกิดเหตุสลดเด็กนักเรียนติดเกมกระโดดตึกเสียชีวิต
สพท.บุรีรัมย์เ ขต 1 ออกมาย้ำให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกแห่ง
ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และผู้ปกครองดูแลสอดส่องพฤติกรรมเด็กนักเรียนอย่างใกล้ชิด
ไม่ให้มีปัญหามั่วสุมติดเกมหวั่นเกิดเหตุสลดซ้ำ

วานนี้ ( 22 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังเกิดเหตุสลดเด็กนักเรียนชายชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.6)
ถูกผู้ปกครองตำหนิเรื่องเล่นเกม จนคิดสั้นกระโดดตึกเสียชีวิต
ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
จึงได้เรียกประชุมผู้บริหารสถานศึกษา และครู อาจารย์
ที่รับผิดชอบในสังกัดกว่า 200 แห่ง
เพื่อกำชับให้ดูแลสอดส่องเด็กนักเรียนอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ หากเด็กมีพฤติกรรมเข้าข่ายติดเกม
หรือลักลอบออกไปเล่นเกมในเวลาเรียนให้ประสานกับพ่อแม่ผู้ปกครองและหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องร่วมกันออกไปตรวจสอบแก้ปัญหา
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนเข้าไปมั่วสุมตามร้านเกม
หรือร้านอินเทอร์เน็ตต่างๆ จนเด็กติดเกม
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเรียนและหากพบว่าผู้ประกอบการร้านเกมรายใด
ปล่อยให้เด็กนักเรียนเข้าไปใช้บริการในเวลาเรียน
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการเอาผิดอย่างจริงจังด้วย

นายธีระวุฒิ เจริญรัมย์
รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า
นอกจากนี้ยังได้กำชับให้ทางโรงเรียนหากิจกรรมเสริมต่างๆ
ให้เด็กนักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น
เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงไม่ให้เด็กติดเกม
จนก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังหรือเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดซ้ำรอยดังกล่าว
ได้

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สสจ.บุรีรัมย์รุกแจงวิธีป้องกันโรคหวัด2009ให้นักเรียน

from MOPH-ข่าวภูมิภาค by เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น
นาย แพทย์สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์
ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมโรค แพทย์
และพยาบาลจากโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
ออกให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่
2009 แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
พร้อมทั้งได้มีการแจกแผ่นพับถึงวิธีการดูแลป้องกันตนเอง
ไม่ให้ติดเชื้อโรคดังกล่าวแก่คณะครู อาจารย์ และนักเรียน
เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง ส่วนในพื้นที่
จ.บุรีรัมย์ที่ผ่านมาพบเพียงผู้เข้าข่ายต้องสงสัยติดเชื้อ 1 ราย
เป็นเด็กชายวัย 11 เดือน ที่เดินทางกลับมาจากประเทศนิวส์ซีแลนด์
แต่ขณะนี้ได้รับการตรวจยืนยันชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธ์
ใหม่ เพียงมีอาการไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น นายแพทย์สมพงษ์ กล่าวว่า
ส่วนในพื้นที่อำเภอ และตำบลต่างๆ ก็ได้สั่งการสาธารณสุขอำเภอ
สถานีอนามัยประจำตำบล ออกให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนให้ครบทุกโรงเรียน
เพื่อนักเรียนจะได้รู้วิธีดูแลป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
ทั้งจะได้นำเผยแพร่แก่ผู้ปกครอง และประชาชนในหมู่บ้านของตนเอง
เพื่อร่วมกันควบคุมป้องกันโรคดังกล่าวไม่ให้มีการระบาดในพื้นที่ในอีกทาง
หนึ่งด้วย

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พันธมิตรฯ อีสานใต้ฟรีโหวตตั้งพรรค อุดรฯ-บุรีรัมย์เห็นพ้องมีพรรคการเมือง

ศูนย์ ข่าวภาคอีสาน - สมาชิกพันธมิตรฯอีสานใต้
มีมติฟรีโหวตตั้งไม่ตั้งพรรคการเมือง
โดยทุกฝ่ายย้ำยังเดินหน้าให้ความรู้แนวทางการเมืองใหม่
ใช้เป็นใบเบิกทางไล่ผีปอบการเมืองเก่า ขณะที่พันธมิตรฯอุดรธานี บุรีรัมย์
ฯลฯประชุมลงมติ เห็นชอบตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
เดินหน้าการเมืองภาคประชาชนคู่ขนานทั้งในสภาและนอกสภา
พร้อมผนึกพลังมวลชนร่วมฉลอง 1 ปีไล่รัฐบาลหุ่นเชิด นช.ทักษิณ

เมื่อเร็วๆนี้ ที่อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
สมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุบลราชธานี
และจังหวัดใกล้เคียง ประชุมหารือกำหนดท่าที
ก่อนแกนนำแต่ละจังหวัดนำข้อสรุปร่วมประชุมกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยทั่วประเทศ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศูนย์รังสิตวันที่ 24 พฤษภาคม

การประชุมวันนี้ มีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง
ทั้งฝ่ายเห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมือง
ใช้เป็นฐานปูทางเอาคนดีเข้าสภาไปกำหนดทิศทางการเมืองสร้างประโยชน์แก่คนส่วน
ใหญ่ แทนการเมืองน้ำเน่าที่ให้ประโยชน์แต่นักการเมือง
จนการเมืองไทยก้าวไม่ทันการเมืองเพื่อนบ้าน
และอาจตกเวทีการเมืองโลกในอนาคต

สำหรับกลุ่มที่คัดค้านให้ความเห็นว่า
การตั้งพรรคการเมืองอาจทำลายแนวร่วมทางการเมืองของพันธมิตรฯ
และกลัวว่าในที่สุดแล้ว การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองที่
ตั้งขึ้นจะตกไปอยู่ภายใต้การนำของกลุ่มทุนทางการเมืองเหมือนในอดีต

เมื่อทุกฝ่ายต่างมีเหตุผลที่รับฟังได้
จึงมีข้อสรุปจะไม่ใช้การหารือในวันนี้
ใช้เป็นมติร่วมโหวตตั้งหรือไม่ตั้งพรรคการเมืองกับแกนนำทั่วประเทศ
แต่ใช้วิธีให้แกนนำทั้ง 14 คน ใช้ระบบฟรีโหวต
เพื่อให้อิสระแก่ทุกความเห็นในการประชุมแกนนำในวันที่ 24 พฤษภาคม นี้

ส่วนวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งเป็นเวทีของสมาชิกพันธมิตรฯ
ทั่วไปที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ก็ให้สมาชิกใช้วิธีเดียวกันออกเสียงชี้ชะตาการตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้

ทั้งนี้ ข้อหารือที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือ
การสร้างการเมืองใหม่อาจต้องใช้เวลา
เพราะปัจจุบันรากฐานการเมืองไทยยังถูกครอบงำอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของนักการ
เมืองเก่า ดังนั้นสมาชิกพันธมิตรฯ
ยังทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้ทางการเมืองลงสู่รากหญ้า
ให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้เท่าทันนักการเมืองน้ำเน่า
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นการเมืองใหม่ที่ทุกคนได้รับประโยชน์
ร่วมกัน

ด้านพันธมิตรฯบุรีรัมย์มีมติชัด หนุนการตั้งพรรคการเมือง
ดร.ทวีศักดิ์ วังไพศาล แกนนำคนหนึ่งของพันธมิตรฯ อุบลราชธานี
ได้เปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ วันนี้
เป็นการตื่นตัวของภาคการเมืองประชาชน
ซึ่งมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองในอนาคต
โดยขาข้างหนึ่งทำหน้าที่ผลักดันการเมืองใหม่ให้เกิดในระบบรัฐสภา
ส่วนขาอีกข้างหนึ่ง ก็ต้องก้าวไปพร้อมกันในรูปแบบการเมืองภาคประชาชน
เพื่อสร้างความรู้ให้ประชาชนก่อนส่งเข้ามาเป็นมวลชนรู้ทันพฤติกรรมนักการ
เมืองโกงบ้านโกงเมือง ดังนั้นการทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้ของพันธมิตรฯ
ยังหยุดไม่ได้ การดำเนินงานต่อไปของพันธมิตรฯ
จึงเข้าลักษณะแยกกันเดินแต่ร่วมกันตี

"หากผลโหวตในวันที่ 24-25 พฤษภาคม มีผลออกมาอย่างไรพันธมิตรฯ
ทุกคนต้องยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่ และต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
โดยไม่หมดกำลังใจหรือท้อแท้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว" ดร.ทวีศักดิ์กล่าว

พันธมิตรฯอุดรธานีเห็นด้วยต้องตั้งพรรคการเมือง

ขณะที่ ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พันธมิตรฯ
จังหวัดอุดรธานี จัดกิจกรรมงาน 193 วัน รำลึกครบรอบ 1 ปี
พันธมิตรฯทำไมต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้น โดยมีพันธมิตรฯจ.อุดรธานี หนองคาย
และเลย เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคักมากกว่า 500 คน ณ โรงแรมนภาลัย
อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ภายในงานมีตั้งกล่องรับบริจาคช่วยเหลือ ASTV
และเป็นทุนพันธมิตรฯสู้คดี
ท่ามกลางแม่ยกที่นำอาหารและเครื่องดื่มมาให้บริการ

วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้
เพื่อเป็นการร่วมรับฟังความคิดเห็นของพันธมิตรฯจ.อุดรธานี
และจังหวัดใกล้เคียง เกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง
และเป็นการพบปะสมาชิกพันธมิตรฯก่อนเดินทางไปร่วมงาน 193 วันรำลึกครบรอบ 1
ปีแห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 24-25 พฤษภาคม

สำหรับข้อสรุปในที่ประชุม พันธมิตรฯอุดรฯ
มีมติเห็นด้วยในการจัดตั้งพรรคการเมือง
โดยได้ส่งตัวแทนที่พี่น้องพันธมิตรฯ ได้คัดเลือกเอาไว้แล้วจำนวน 10 คน
เข้าไปร่วมชี้แจงในเวทีประชุมร่วมกับแกนนำพันธมิตรฯ
และพี่น้องพันธมิตรฯจากทั่วประเทศ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศูนย์รังสิต

ขณะเดียวกันพี่น้องพันธมิตรฯในพื้นที่ จ.อุดรธานี และใกล้เคียง
ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พร้อมจะเดินทางเข้าไปร่วมกิจกรรม
งานรำลึก 193 วัน ครบรอบ 1
ปีแห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 25
พฤษภาคมด้วย


พันธมิตรฯอุดรธานีเอง ก็ได้จัดสังสรรค์ลงมติเห็นด้วยที่พันธมิตรฯจะตั้งพรรคการเมือง
นายณัฐกฤษณ์ เศวตวรานนท์ ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ จ.อุดรธานี
ให้ความเห็นถึงการจัดตั้งพรรคการเมืองของพี่น้องพันธมิตรฯ ว่า
การจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ดี เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ทำให้ประชาชนธรรมดามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น
การมีส่วนร่วมด้านการเมืองเพิ่มมากขึ้น
และการที่พรรคพันธมิตรฯจัดตั้งขึ้นหรือในนามพรรคอะไรก็ตาม
เชื่อว่าจะเป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่
การเมืองใหม่ ที่พันธมิตรฯ วางเป้าหมายสูงสุดไว้ร่วมกัน

"พธม.บุรีรัมย์"มีมติเห็นชอบตั้งพรรคการเมือง

นายเสฏวุฒิ ชมพูพงษ์
คณะกรรมการเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
ที่ผ่านมาได้ประสานกับเครือข่ายพันธมิตรฯทุกอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์และ
ประชุมร่วมกันทั้งจังหวัดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายปี 2548 ไม่เคยจัดประชุมร่วมกันมาก่อนทั้ง ๆ
ที่ทุกคนต่างเรียกตัวเองว่า พันธมิตรฯ
และต่างก็เดินทางไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ตามสถานที่ต่างๆ
ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยไม่นัดหมายตลอดมา

นายเสฏวุฒิ กล่าวต่อว่า
วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
และเป็นผลดีสำหรับประชาชน
แม้การเมืองในระบบรัฐสภายังไม่ดีหรือสมบูรณ์อย่างที่เราต้องการ
รวมทั้งยังมีนักการเมืองบางกลุ่มทำร้ายประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเชื่อว่าไม่เพียงแต่พวกเราที่อยากให้การเมืองไทยดีขึ้น
คนไทยทุกคนก็มีความต้องการเหมือนกัน จึงหลีกหนีไม่พ้นที่เครือข่าย
พันธมิตรฯ ต้องใส่ใจในเรื่องการเข้ามาทำงานการเมืองในสภา
ให้เกิดขึ้นคู่ขนานกับการเมืองนอกสภา

"ในที่ประชุมเครือข่ายพันธมิตรฯ จ.บุรีรัมย์ครั้งนี้
ได้ลงมติร่วมกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จำเป็นจะต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา
แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัด และจุดอันตรายที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย"
นายเสฏวุฒิ กล่าว

ขณะนี้คณะกรรมการเครือข่ายพันธมิตรฯ บุรีรัมย์
มีตัวแทนประจำเกือบครบอำเภอแล้ว เช่น อ.เมือง หนองกี่ โนนสุวรรณ ชำนิ
นางรอง หนองหงส์ ละหานทราย และกระสัง และเชื่อว่าเร็ว ๆ
นี้ก็จะมีตัวแทนครบทั้ง 23 อำเภอ ของจ.บุรีรัมย์

นายเสฏวุฒิ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชาวพันธมิตรฯ
บุรีรัมย์จะต้องทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น
ตั้งแต่การก่อตั้งคณะกรรมการพันธมิตรฯ บุรีรัมย์
และเตรียมขยายวงให้มีการประชุมร่วมของพันธมิตรฯ ทุกอำเภอในเร็ว ๆ นี้
รวมทั้งการตั้งเวทีเสวนาระดมความคิดเห็นในเรื่อง
ส่วนปลีกย่อยของการตั้งพรรคการเมือง ที่ชาวพันธมิตรฯ จะต้องระมัดระวัง

อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่เราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่อง
การตั้งตัวแทนเข้าและระดมสมาชิกเข้าร่วมการสัมมนาใหญ่กับพันธมิตรฯ
ทั่วประเทศในงาน " 193 วันรำลึก 1 ปี
แห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่กรุงเทพฯ ในวันที่
24 -25 พฤษภาคม 2552

แรงงานบุรีรัมย์ร้องถูกตุ๋นไปต่างประเทศ 30 คนสูญกว่า 3 ล้าน

บุรีรัมย์ - แรงงานบุรีรัมย์ 7 ใน 30 คน ที่ถูกหลอกไปทำงานประเทศสหรัฐฯ
สูญเงินกว่า 3 ล้าน บุกร้องจัดหางานจังหวัดฯ ให้ช่วยเหลือ
ก่อนพาเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับบริษัทที่หลอกลวง

วันนี้ (19 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรรายงานว่า
แรงงานชาวจ.บุรีรัมย์จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นายสมูล นามวงศ์ นายหนา
นามวงศ์ นายบุญมา ชุนรัมย์ นายพันธ์ ชูคะรัมย์ นายมงคล สุภาพ นายสมชาย
ฤดทธิ์วิชัย และ น.ส.อัจฉรารัตน์ นาเจริญ จากจำนวนแรงงานทั้งหมด 30 คน
ที่ถูกศูนย์ทดสอบฝีมือคนงาน "ธรรมสรร" ตั้งอยู่เลขที่ 237 /1-3 หมู่ 8
ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ โดยมี นายธัญญา สุขประเสริฐ
เป็นเจ้าของศูนย์ฯ ได้หลอกลวงไปทำงานยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 3
ปีที่ผ่านมา

ศูนย์ฯได้เรียกรับเงินล่วงหน้าจากแรงงานรายละกว่า 100,000 บาท
แต่ไม่สามารถจัดส่งไปทำงานได้ตามที่กล่าวอ้าง ทำให้แรงงานทั้ง 30
คนต้องถูกลอยแพสูญเงินไปกว่า 3 ล้านบาท
หลังไปติดตามทวงถามก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด
จึงได้พากันเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับสำนักงานจัดหางานจังหวัด
บุรีรัมย์

ทั้งนี้เพื่อให้ช่วยดำเนินการติดตามเงินที่ถูกศูนย์ฯดังกล่าวหลอกไป
กลับคืนมา เพราะต่างก็ได้รับความเดือดร้อน
มีหนี้สินจากการกู้ยืมและนำที่ดินไปจำนองกับนายทุน
ซึ่งการกระทำดังกล่าวของศูนย์ทดสอบฝีมือคนงาน
เข้าข่ายกระทำผิดพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองแรงงาน
จัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนของกรมการจัดหางาน มีโทษจำคุก
3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้แรงงานที่ถูกหลอกกว่า 20 คน
ได้เข้าร้องทุกข์ และแจ้งความทั้งหมดแล้ว และอยู่ในระหว่างการสอบสวน
เพื่อดำเนินคดีผู้กระทำผิดตามที่แรงงานได้แจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว

ทางด้าน นายสิทธิ สุโกศล จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์
หลังรับเรื่องร้องทุกข์จากแรงงาน ได้มอบหมายให้นายประเทือง ปิยะรัมย์
นักวิชาการชำนาญการ นำข้อมูลหลักฐาน และแรงงานที่มาร้องทุกข์
ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีกับศูนย์ทดสอบฝีมือคนงาน
ธรรมสรร ตามที่แรงงานมาร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าวต่อไป

นายสิทธิ สุโกศล จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์
กล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีแรงงานถูกสาย นายหน้าเถื่อน และบริษัทจัดหางาน
หลอกลวงเรียกรับผลประโยชน์จากแรงงาน
โดยอ้างจะสามารถจัดส่งไปทำงานยังต่างประเทศตามที่แรงงานต้องการได้
ซึ่งมีแรงงานตกเป็นเหยื่อถูกหลอกสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก
และได้เข้ามาร้องทุกข์ที่สำนักงานจัดหางานฯ เพื่อให้ช่วยเหลือ
ซึ่งทางจัดหางานฯเองก็สามารถติดตามเงินคืนให้กับแรงงาน
และสามารถดำเนินคดีกับผู้หลอกลวงได้หลายรายแต่ก็ยังมีแรงงานอีกหลายรายที่
ไม่สามารถติดตามเงินคืนได้

"จึงอยากเตือนให้แรงงานที่ต้องการเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ
ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าประเทศที่ต้องการเดินทางไปทำงานนั้น
ได้เปิดรับคนงานจริงหรือไม่ และบริษัทที่จะจัดส่งไปถูกต้องหรือไม่
โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานจัดหางานทุกแห่งทั่วประเทศ
เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง
สูญเสียทรัพย์สินเงินทองแต่กลับไม่ได้ไปทำงานตามที่ตั้งหวังไว้" นายสิทธิ
กล่าว

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เลือกซ่อม ส.อบจ.บุรีรัมย์ เดือด! - "น้องปณวัตร" ชน "เด็กยี้ห้อย"/คาดเงินสะพัด

บุรีรัมย์ - เลือกตั้งซ่อม ส.อบจ.บุรีรัมย์ เขต 1 อ.คูเมือง เดือดปุด
"น้องชายปณวัตร" ชน "อดีตนายกเทศมนตรี" เด็ก "กลุ่มยี้ห้อย"
หลังศาลสั่งให้เลือกใหม่ 14 มิ.ย.นี้ ส่วน ส.อบจ.ใบเหลืองถอดใจ
ไม่ลงชิงชัย ด้าน กกต.ท้องถิ่นหวั่นแข่งรุนแรง จัดเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์
ขณะหัวคะแนนเริ่มขยับ คาดเงินซื้อเสียงสะพัด

วันนี้ (17 พ.ค.) นายประวิตร อุไรกุล
รองปลัดรักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บุรีรัมย์
ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำ อบจ.บุรีรัมย์
เปิดเผยถึงผลการเปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาองค์การ
บริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) บุรีรัมย์ เขต 1 อ.คูเมือง ระหว่างวันที่
12-16 พ.ค.ที่ผ่านมา และจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ว่า
มีผู้สนใจสมัครรับเลือกตั้งซ่อม จำนวน 3 คน
ซึ่งเดินทางมาสมัครในวันสุดท้ายทั้งหมด

ได้แก่ หมายเลข 1 นายนราชัย เลี้ยงผ่องพันธุ์ อดีต
ส.อบจ.บุรีรัมย์ เขต อ.คูเมือง (น้องชาย นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อดีต
ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคชาติไทยพัฒนา), หมายเลข 2 นายบุญเกิด รัตนยิ่งยง
อดีตนายกเทศมนตรีตำบลคูเมือง (กลุ่มเพื่อนเนวิน) และ หมายเลข 3 ว่าที่
ร.ท.สันติ อิงศิริไพศาล

ขณะที่ นายสมศักดิ์ รัตนยิ่งยง ที่
กกต.ให้ใบเหลืองจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ลงสมัครแต่อย่างใด

นายประวิตร กล่าวต่อว่า เชื่อว่า
การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 60
ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 24,835 คน ใน 4 ตำบล 50 หน่วยเลือกตั้ง
จึงขอเตือนให้ผู้สมัครและผู้สนับสนุนผู้สมัครอย่าได้กระทำผิดกฎหมายเลือก
ตั้งอย่างเด็ดขาด
ขอให้การหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิยุติธรรม
เพราะหวั่นเกรงจะมีการเลือกตั้งซ่อม รอบ 3 หากมีการทุจริตเกิดขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องปรามการทุจิตเลือกตั้ง
และลดกระแสความขัดแย้ง ที่มีแนวโน้มการแข่งขันที่อาจรุนแรง
เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
จึงจะเชิญผู้สมัครทั้งหมดมาร่วมกิจกรรมเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์
โดยมีการชี้แจงให้ความรู้ ตอบข้อสงสัยและกล่าวปฏิญาณตนที่จะไม่ซื้อ
สิทธิขายเสียง

"ที่สำคัญที่สุด ก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง 7 วัน
จะร้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ลงพื้นที่เป้าหมายเพื่อป้องกันการกระทำผิด
กฎหมายเลือกตั้ง" นายประวิตร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับ นายนราชัย เลี้ยงผ่องพันธุ์
อดีต ส.อบจ.บุรีรัมย์ เขต อ.คูเมือง เป็นน้องชาย นายปณวัตร
เลี้ยงผ่องพันธุ์ อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคชาติไทยพัฒนา
คราวที่แล้วไม่ได้ลงสมัคร แต่คราวนี้หวังกลับมาทวงเก้าอี้คืนอีกครั้ง
แต่ต้องเจอกระดูกชิ้นโต อย่าง นายบุญเกิด รัตนยิ่งยง
อดีตนายกเทศมนตรีตำบลคูเมือง 2 สมัย
ที่มีความสนิทใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับจังหวัดและระดับชาติในพื้นที่
จ.บุรีรัมย์ คือ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ของ นายเนวิน ชิดชอบ
ซึ่งถูกจับมาเป็นคู่ชนกับ ตระกูล "เลี้ยงผ่องพันธุ์" แทน นายสมศักดิ์
รัตนยิ่งยง ที่ถูก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบเหลือง

ส่งผลให้การเลือกตั้งตั้งซ่อมคราวนี้
มีการแข่งขันสูงและเข้มข้นขึ้นมาทันที
และไม่ง่ายอย่างที่คิดว่าใครจะคว้าเก้าอี้มาครอง ส่งผลให้
ล่าสุดมีกระแสความเคลื่อนไหวของการจัดตั้งแกนนำและหัวคะแนนไว้หมดแล้ว
ที่สำคัญคาดว่าเงินซื้อเสียงต้องสะพัดอย่างแน่นอน
เพราะต่างคนต่างแพ้ไม่ได้

ทั้งนี้ ส.อบจ.บุรีรัมย์ เขต 1 อ.คูเมือง
ได้จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2551 ที่ผ่านมา โดย
นายสมศักดิ์ รัตนยิ่งยง ชนะการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากมีผู้สมัคร
ร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งโดย กล่าวหาว่า มีการทุจริตเลือกตั้ง
จนนำไปสู่กระบวนการร้อง คัดค้านผลการเลือกตั้ง กระทั่งศาลอุทธรณ์
ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ยืน ตามมติ
กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งซ่อม ส.อบจ.บุรีรัมย์ เขต 1 อ.คูเมือง ใหม่
ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้

เกษตรกรบุรีรัมย์แห่ซื้อต้นมะนาวไปปลูก-หลังมีราคาแพง

บุรีรัมย์ - เกษตรกรและชาวไร่ จ.บุรีรัมย์ แห่ซื้อพันธุ์ไม้ผล
และไม้เศรษฐกิจปลูกคึกคัก โดยเฉพาะต้นพันธุ์มะนาวขายดีจนขาดตลาด
หลังผลมะนาวมีราคาแพงลูกละ 5-10 บาท
ทำให้ช่วงนี้พ่อค้าแม่ค้าขายพันธุ์ต้นไม้มีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,000-3,000
บาท

วันนี้ (17 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกร และชาวไร่
หลายอำเภอจ.บุรีรัมย์ ได้พากันซื้อต้นพันธุ์ไม้ผล
และไม้เศรษฐกิจไปปลูกกันคักคึกเนื่องจากเป็นช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนโดยเฉพาะ
ต้นพันธุ์มะนาวขายดีจนขาดตลาด
หลังจากปีนี้มะนาวตามท้องตลาดมีราคาแพงถึงลูกละ 5 -10 บาท
จึงมีเกษตรกรนิยมซื้อไปปลูกเพื่อเก็บผลขายกันจำนวนมากขึ้น จากที่ใน
จ.บุรีรัมย์ มีแหล่งปลูกมะนาวอยู่ที่ อ.นางรอง
เพียงอำเภอเดียวจึงไม่เพียงพอส่งขายให้กับพ่อค้าแม่ค้า
บางรายต้องไปรับซื้อจาก จ.นครราชสีมา

ส่วนพันธุ์ไม้เศรษฐกิจที่ขายในช่วงนี้
ส่วนใหญ่เป็นต้นตะกูยักษ์เพราะเป็นไม้ที่โตเร็ว
ทำให้ในช่วงนี้พ่อค้าแม่ค้าขายพันธุ์ไม้ บริเวณริมถนนสายบุรีรัมย์-
พุทไธสง ที่มีอยู่เกือบ 10 ร้าน มีรายได้เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า
2,000-3,000 บาท

นายอนุวัฒน์ สว่างอารมณ์ พ่อค้าขายพันธุ์ไม้รายหนึ่ง บอกว่า
ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าฝน ทำให้ต้นพันธุ์ไม้ผล และไม้เศรษฐกิจขายดี
โดยเฉพาะต้นมะนาวช่วงนี้ขายได้วันละไม่น้อยกว่า 100 ต้น
เพราะมีเกษตรกรนิยมซื้อไปปลูก เพื่อเก็บผลผลิตขายเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากปีนี้ลูกมะนาวมีราคาแพง จนบางร้านไม่มีต้นพันธุ์ขาย
ส่วนร้านจะรับซื้อต้นพันธุ์มะนาวมาจาก จ.ปราจีนบุรี ในราคาต้นละ 25-30
บาท และนำมาขายในราคาต้นละ 50-80 บาทแล้วแต่ขนาด

สำหรับพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับช่วงนี้ไม่ค่อยมีผู้นิยมซื้อไปประดับ
ตกแต่งบ้าน หรือสำนักงานมากนัก ส่วนมากจะเป็นกลุ่มข้าราชการมากกว่า

บุรีรัมย์พบผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้ว 45 ราย

บุรีรัมย์ - ฝนตกติดต่อกันหลายวันทำให้มีน้ำท่วมขังเอื้อต่อการเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุง
ลาย ล่าสุดบุรีรัมย์พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกแล้ว 45 ราย
ขณะปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิต 1 ราย สสจ.เร่งระดม อสม.ทั้งจังหวัดกว่า
20,000 คน ออกให้ความรู้กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย
เพื่อตัดวงจรการระบาด

นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)
บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า หลังจากมีฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน
ส่งผลให้มีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่
ซึ่งเอื้อต่อการเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลายที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคไข้เลือดออก
มาแพร่ระบาดสู่คน
โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้จ.บุรีรัมย์พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก
เข้ามารับการตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว 45 ราย
อำเภอที่ระบาดมากที่สุด คือ อ.พุทไธสง ละหานทรย แคนดง และอ.คูเมือง
ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุระหว่าง 5-14 ปี แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

ขณะที่ทางสาธารณสุขจังหวัดฯ ได้ระดมเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย 215
แห่ง และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั้งจังหวัดกว่า 20,000
คน ออกประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ
ถึงวิธีการกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยการหยอดทรายอะเบท
และคว่ำภาชนะที่มีน้ำขังในบ้านเรือน สถานที่ราชการต่างๆ
เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรค
ถึงแม้อัตราผู้ป่วยในปีนี้จะไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านมา
แต่ต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกชุก

"ปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออก 1 ราย
เนื่องจากมีอาการป่วยรุนแรงเข้ารับการตรวจรักษาล่าช้า
จึงขอเตือนหากประชาชนรายใดพบว่ามีอาการป่วยผิดปกติ
ให้รีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาโดยเร็ว
หากล่าช้าอาจเกิดอาการช็อกเสียชีวิตได้" นพ.สมพงษ์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทัพบกลุยพื้นที่ "บุรีรัมย์" สร้างความเข้าใจ-ย้ำไม่ใช้ความรุนแรงสลาย "แดงถ่อย" เผาเมือง

บุรีรัมย์ - ผช.เสนาธิการกองทัพบก นำคณะ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
ชี้แจงข้อเท็จจริงและทำความเข้าใจให้กับ ขรก.-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำ
อปท.กว่า 1,000 คน เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง
ป่วนชาติเผากรุง เม.ย.ที่ผ่านมา
ย้ำไม่มีการใช้ความรุนแรงตามที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มออกมากล่าวหาและพยายามบิด
เบือนข้อเท็จจริงสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับบ้านเมือง

วันนี้ (16 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ
ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ และ
ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักรไทย
พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ชี้แจงข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจให้กับข้าราชการ
กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใน จ.บุรีรัมย์
กว่า 1,000 คน ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ อ.เมือง
จ.บุรีรัมย์ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาบ้านเมืองและเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อ
แดงเมื่อวันที่ 13-14 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยย้ำว่า ทหารไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด
พร้อมทั้งได้นำภาพเหตุการณ์สถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นในช่วง
วันดังกล่าวมาให้ผู้เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงได้ชมด้วยเพื่อให้ได้รับทราบ
ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน
เพราะหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมได้มีบุคคลบางกลุ่มออกมาพยายามบิดเบือนข้อ
เท็จจริงเพื่อสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นกับประชาชน
และกล่าวหาว่าทหารใช้กำลังรุนแรงในการสลายการชุมนุมซึ่งไม่เป็นความจริง

พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ ผู้ช่วยเสนาธิการกองทัพบก กล่าวว่า
จากเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อย เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
อาจสร้างความเข้าใจผิดและสร้างความสับสนให้กับประชาชน
จนก่อให้เกิดความรุนแรงตามมาทางกองทัพจึงได้ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจใน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

6 นร.บุรีรัมย์ยังเคว้งไม่มีที่เรียน ม.1 - พ่อแม่พาบุกร้องสพท./ ตั้งกก.สอบแป๊ะเจี๊ย

บุรีรัมย์ - เด็กนักเรียนบุรีรัมย์ ยังเคว้งไม่มีที่เรียน ม.1
หลังโรงเรียนดังปฏิเสธไม่รับเข้าเรียน พ่อแม่พาบุกร้องสพท. เขต 3
ยันต้องการเรียนที่ร.ร.นางรอง ด้านผอ.บ่นสงสารแต่ยึดแนวปฏิบัติเป็นหลัก
ขณะที่ รอง ผอ.สพท. เขต 3 ชงเรื่องหารือ สพฐ.คาดภายใน 1
สัปดาห์ปัญหาจบพร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยฉาว
ส่วนนักเรียน ม.1 อีก 20 คนยอมไปเรียนตามที่สพท.จัดหาให้ใกล้บ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานรายงานความคืบหน้า กรณีเด็กนักเรียนอ.นางรอง
จ.บุรีรัมย์ จำนวน 26 คน ที่มีปัญหาสอบไม่ผ่านและจับสลากไม่ได้
แต่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อโต๊ะ เก้าอี้ 5 ชุด เป็นเงินรายละ 3,500
บาทสนับสนุนให้ทางโรงเรียนนางรอง อ.นางรอง
เพื่อให้บุตรหลานได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1)
ตามที่ได้ตกลงกับผู้อำนวยการโรงเรียน
แต่เมื่อถึงเวลาเปิดเทมกลับถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าเรียนและผู้ปกครองเชื่อ
ว่าสาเหตุที่แท้จริงเพราะไม่ได้จ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยรายละ 15,000-20,000 บาท
ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว นั้น

ล่าสุดวันนี้ (15 พ.ค.52 )
พ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียนดังกล่าวได้พานักเรียนชั้น ม.1
ซึ่งเป็นบุตรหลานจำนวน 6 คน จากทั้งหมด 26 คน
เข้าร้องเรียนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) บุรีรัมย์ เขต 3 ว่า
จนถึงขณะนี้บุตรหลานทั้ง 6 คน ยังไม่มีที่เรียน
และยืนยันต้องการเรียนที่โรงเรียนนางรองเท่านั้น
เพราะผู้ปกครองและเด็กมีความตั้งใจที่จะเรียนโรงเรียนแห่งนี้
จึงขอให้ทางเขตพื้นที่การศึกษาฯ ให้ความเป็นธรรม เพราะได้ซื้อชุดนักเรียน
เครื่องเขียน แบบเรียนครบทั้งหมดแล้ว และเปิดเทอมมา 1 สัปดาห์
เด็กยังไม่มีสถานที่เรียน ส่วนเด็กอีก 20 คน
ยอมไปเรียนที่โรงเรียนตามที่เขตพื้นที่การศึกษาจัดหาให้

ต่อมา นายสมศักดิ์ ชอบทำดี รองผู้อำนวยการ
รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 และ นายวิชัย
อำไธสง ผู้อำนวยการโรงเรียนนางรอง
ได้เดินทางมาพบผู้ปกครองเด็กนักเรียนทั้ง 6 คน
ชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่สามารถรับนักเรียนเข้าได้

นางจุไร ทวีชาติ ผู้ปกครองเด็กนักเรียน กล่าวทั้งน้ำตาว่า
รู้สึกเสียใจที่ทางโรงเรียนนางรองปฏิเสธไม่ให้ลูกเข้าเรียน
หลังการพูดคุยกับทางโรงเรียนและยอมจ่ายเงินซื้อโต๊ะ เก้าอี้
ให้กับทางโรงเรียน โดยมีการรวบรวมเงินไปแล้ว
แต่เมื่อมีปัญหาทางผู้รับเงินกลับส่งเงินกลับคืนให้ ทั้งๆ
ที่รับปากว่าให้เข้ามาเรียนได้ในวันเปิดเทอม
จึงขอให้ทางสำนักงานพื้นที่การศึกษา ได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมด้วย

ด้าน นายวิชัย อำไธสง ผู้อำนวยการโรงเรียนนางรอง กล่าวว่า
รู้สึกสงสารและเห็นใจผู้
ปกครองและเด็กนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนนางรอง
แต่ทางโรงเรียนได้รับนักเรียนครบตามเกณฑ์แล้ว
อย่างไรก็ตามได้หารือกับทางสำนักงานพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจมีการเพิ่มจำนวนนักเรียนเฉลี่ยตามห้อง
หรือมีการขอเพิ่มจำนวนห้องเรียน
ซึ่งเบื้องต้นได้ให้ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนลงชื่อไว้สำนักงานพื้นที่การ
ศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ก่อน

ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองกล่าวหา ทางโรงเรียน
และทางสมาคมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนนางรอง เรียกรับเงินนั้น
ผู้อำนวยการโรงเรียนนางรอง กล่าวว่า
คงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าใครเป็นผู้รับ และ
ผู้ปกครองจ่ายกับคนใด และที่มีการอ้างว่าซื้อโต๊ะ เก้าอี้
ให้กับทางโรงเรียนก็ยังไม่มีการซื้อ

ขณะที่ นายสมศักดิ์ ชอบทำดี
รองผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 กล่าวว่า
จะทำเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
กรณีผู้ปกครองยืนยันจะนำบุตรหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนนางรอง
แต่ติดที่แนวทางปฏิบัติ ไม่สามารถรับได้เนื่องจากนักเรียนครบตามเกณฑ์
จึงจะเสนอ สพฐ.ขอรับนักเรียนเพิ่มจากปกติ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะทราบผล แต่หากไม่สามารถขอเพิ่มได้ เด็กทั้ง 6 คน
ก็ต้องไปเรียนยังโรงเรียนที่ทางสพท. เขต 3 จัดหาให้
เหมือนกับเด็กนักเรียนอีก 20 คน

อย่างไรก็ตาม กรณีผู้ปกครองอ้างว่าโรงเรียนและทางสมาคมผู้ปกครองฯ
เรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ย นั้น จะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง
หากพบมีพฤติการณ์ตามที่ถูกร้องเรียนจริง
จะดำเนินการเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเอาผิดเนื่องจากเป็นการสมยอมของผู้ปกครองเอง

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กรมศิลป์พิสูจน์กระดูกคนโบราณบุรีรัมย์คาดอายุ 2,500 ปี - อบต.เล็งดันเป็นแหล่งท่องเที่ยว

บุรีรัมย์ - กรมศิลปากร บุกพิสูจน์โครงกระดูกมนุษย์โบราณ บุรีรัมย์
คาดอยู่ในยุคเหล็กก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 1,500-2,500 ปี
พร้อมแนะนำกลบดินฝังในสภาพเดิม ไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย หรือขุดเพิ่มอีก
ด้านเจ้าของที่ดินเกรงไม่เหมาะสม รบกวนบรรพบุรุษเตรียมทำกระจกล้อมรอบไว้
ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้
นายกอบต.พร้อมหารือทุกฝ่ายผลักดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเมืองโบราณ
จัดเวรยามดูแลตลอด 24 ชม.คอหวยแห่ดูตีเลขเด็ด

วันนี้ (14 พ.ค.) เวลา 15.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
น.ส.กรรณิการ์ เปรมใจ นักโบราณคดี สังกัดสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา
ได้เข้าตรวจพิสูจน์ โครงกระดูกมนุษย์โบราณ จำนวน 3 โครง ในหลุมลึก 20
เซนติเมตร กว้าง 60 เซนติเมตร ยาว 1.20 เมตร พร้อมกับเศษซากโครงกระดูก
และภาชนะดินเผาแตกหักอีกจำนวนมาก

หลังชาวบ้านขุดพบเมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา บนที่ดินของ
นายแปลก แก้วประสงค์ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ที่ 15 บ.สะแกโพรง
ต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้ว่าจ้างให้รถแบ็คโฮ
และคนงานมาขุดปรับหน้าดิน เพื่อเตรียมปลูกต้นมะนาว

น.ส.กรรณิการ์ เปรมใจ นักโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา
กล่าวว่า จากการตรวจพิสูจน์โครงกระดูกมนุษย์ และภาชนะดินเผา
รวมทั้งวัตถุโบราณอื่นๆ เครื่องมือเหล็กที่พบ สันนิษฐาน ว่า
อาจอยู่ในยุคเหล็กก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย มีอายุราว 1,500-2,500 ปี
ซึ่งกรมศิลปากร ได้ปรึกษาเจ้าของเจ้าที่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล
(อบต.) และ ผู้ใหญ่บ้าน มีความเห็นว่า
หากตรวจพิสูจน์เรียบร้อยให้ดำเนินการกลบดินฝังโครงกระดูกในสภาพเดิม
ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด เพราะโครงกระดูกอยู่ในสภาพที่ถูกรบกวน
ยุ่ย และอยู่ในหลุมแคบๆ ประมาณกว่า 1 เมตร มีโครงกระดูกอยู่ 3 โครง
ไม่มีการวางตัวตามแนว "อนาโตมี่" หรือ การฝังตัวตามแนวปกติ

น.ส.กรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ใน หลุมฝังศพที่พบ มีหัวกะโหลกอยู่ 3
หัว และมีโครงรวมกันอยู่ 3 โครง แต่ชาวบ้านบอกว่าได้ขุดเจอก่อนนี้ จำนวน
3 โครง รวมทั้งหมด 6 โครง ส่วนของมีค่า ที่พบมีภาชนะดินเผา และ
เบี้ยดินเผาชิ้นเล็กๆ กลมๆ และชิ้นส่วนเครื่องมือเหล็ก ที่ผุกร่อนมาก
จนไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจบริเวณเนินดินโดยรอบก็พบเศษภาชนะดินเผา
และร่องรอยของเตาโบราณ ในบริเวณใกล้เคียงที่ขุดพบโครงกระดูก เชื่อว่า
บริเวณนี้เป็นชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในบริเวณนี้ได้ขุดเจอสมบัติเก่า ของมีค่าจำนวนมาก
แต่ตรงที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ของมีค่าไม่ค่อยมีหรือมีน้อย
ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งฝังศพก็ได้ และในบริเวณหมู่บ้านก็จะเป็นที่อยู่อาศัย

ส่วนการที่จะส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่นั้น
นางสาวกรรณิการ์ กล่าวว่า
คงต้องมีการปรึกษาหารือจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกรมศิลปากร
จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) และเจ้าของที่ดิน
แต่ตอนนี้หลังตรวจพิสูจน์ขอให้เจ้าของที่กลบดินฝังโครงกระดูกไว้ตามเดิมเสีย
ก่อน เพื่อป้องกันว่าไม่ให้คนมาขุดต่อ และทำลายสภาพชุมชนโบราณให้เสียไป

นายแปลก แก้วประสงค์ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ที่ 15
บ.สะแกโพรง ต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
ซึ่งเป็นเจ้าของที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ กล่าวว่า ทางกรมศิลปากร
แนะนำให้กลบดินฝังโครงกระดูกไว้ตามเดิม
แต่ดูแล้วเกรงว่าจะไม่เหมาะสมและลบหลู่สิ่งที่ขุดพบ
จึงคิดหาวิธีจะนำกระจกมาล้อมรอบไว้ ให้ชาวบ้านกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล
แต่คงต้องหารือกับทางกรมศิลปากร และ นายก อบต.อีกครั้งว่าจะทำอย่างไร

ขณะที่ นายตุ๋ย ปุลันรัมย์
นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)สะแกโพรง กล่าวว่า ทาง
อบต.พร้อมให้ความร่วมมือกับกรมศิลปากร เจ้าของที่ดิน และชาวบ้าน
ว่าจะดำเนินการอย่างไร อบต.ก็พร้อมให้การสนับสนุน
ส่วนจะพัฒนาบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่
คงต้องหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งกรมศิลปากร เจ้าของที่
และทางจังหวัดด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการหมู่บ้าน ได้จัดเวรยามคอยดูแล
เกรงว่าจะมีคนเข้ามาขโมย และทำลายโครงการกระดูก

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
หลังจากที่มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ
ชาวบ้านได้ร่วมกันนิมนต์พระสงฆ์มาสวด
และทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่พบ เป็นเวลา 7 วัน
และพบว่ายังคงมีชาวบ้านจากทั่วสารทิศเดินทางมาจุดธูป เทียนกราบไว้
กันเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะนักเล่นพนันหวยต่างพากันเหมารถมาเป็นคณะพร้อมกับตีเลขไปต่างๆ
นานา ตามความเชื่อของแต่ละคน รวมทั้งแม่ค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล
ต่างฉวยโอกาสมาวางขาย ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
เพราะใกล้วันหวยออกด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000054098

บุรีรัมย์ฉาวอีก! ร.ร.ลอยแพ นร.ไม่จ่าย "แปะเจี๊ยะ" อ้างไม่มีนโยบายรับเพิ่ม

บุรีรัมย์ - เปิดเทอมใหม่บุรีรัมย์ฉาวโฉ่อีก!
ผู้ปกครองโวยสมาคมผู้ปกครองนักเรียน ร.ร.นางรอง อ.นางรอง เรียกเก็บ
"แปะเจี๊ยะ" เพิ่มรายละ 15,000-20,000 บาท
ใครไม่จ่ายบุตรหลานถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าห้องเรียน 26 คน
อ้างไม่มีนโยบายรับเพิ่ม
วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบให้ความเป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบุรีรัมย์ว่า
ได้มีผู้ปกครองและนักเรียนจำนวน 26 คน
ร้องเรียนกับสื่อมวลชนไม่ได้รับความเป็นธรรม จากโรงเรียนนางรอง อ.นางรอง
จ.บุรีรัมย์ โดยบอกว่าทางสมาคมผู้ปกครองนักเรียนใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตัดสิทธิ์นัก
เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1) ที่สอบไม่ผ่าน-จับสลากไม่ได้
และที่ผู้ปกครองได้เจรจากับผู้อำนวยการโรงเรียน
ยอมซื้อโต๊ะเก้าอี้ให้โรงเรียนคนละ 5 ชุด เป็นเงินรายละ 3,500 บาท

พอถึงวันเปิดเทอมทางโรงเรียนกลับไม่ให้เข้าห้องเรียน
โดยสมาคมผู้ปกครองนักเรียนอ้างว่าไม่ผ่านการคัดกรองจากทางสมาคมฯ
และโรงเรียนไม่มีนโยบายที่จะรับนักเรียนเพิ่ม
ได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองนักเรียน
เนื่องจากได้ซื้อชุดนักเรียนใหม่ อุปกรณ์การเรียน และ
ซื้อโต๊ะเก้าอี้ให้โรงเรียนรวมแล้วหมดเงินไปรายละกว่า 6,000 บาท
แต่กลับไม่ให้เข้าเรียน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

จึงขอเรียกร้องให้สำนักงานพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมแก่
เด็กนักเรียนด้วย เพราะผู้ปกครองนักเรียนเชื่อว่า
สาเหตุที่บุตรหลานถูกตัดสิทธิ์ไม่ได้เข้าเรียนชั้น ม.1 ดังกล่าว
เนื่องจากไม่ได้จ่ายเงินบริจาค หรือเงินแปะเจี๊ยะให้กับทางสมาคมรายละ
15,000 บาท

นางชัยพิศ ศฤงคาร์นันท์ อายุ 36 ปี ผู้ปกครองนักเรียนรายหนึ่ง
กล่าวว่า บ้านอยู่หน้าโรงเรียนนางรอง
จึงอยากให้บุตรชายเข้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
แต่สอบไม่ผ่านและจับสลากไม่ได้
จึงพาลูกชายไปร้องขอต่อผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งผู้อำนวยการได้บอกว่า
ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้เรียน ทางผู้ปกครองที่มาร้องขอจำนวน 26 ราย
จึงยื่นข้อเสนอตกลงกับทางโรงเรียนว่าจะซื้อโต๊ะเก้าอี้ให้โรงเรียนคนละ 5
ชุดเป็นเงิน 3,500 บาท ผู้อำนวยการจึงตอบรับอนุญาตให้เข้าเรียน

หลังจากนั้นผู้ปกครองก็ได้พาบุตรหลานไปซื้อชุดนักเรียน
เครื่องเขียน แบบเรียน หมดเงินไปอีกกว่า 3,000 บาท
รวมหมดเงินค่าซื้อชุดนักเรียนและโต๊ะเก้าอี้ไปกว่า รายละ 6,500 บาท
ในวันเปิดเรียนวันแรกได้นำลูกชายมาลงทะเบียนตามปกติ
พอวันต่อมาได้เข้าไปหาห้องเรียน
ปรากฏว่าสมาชิกของสมาคมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนนางรองมาแจ้งว่าไม่อนุญาต
ให้นักเรียนกลุ่มนี้เข้าห้องเรียน เพราะไม่ผ่านสมาคมฯ
ลูกชายถึงกับนั่งร้องไห้เพราะอยากเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
ซึ่งไม่คิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นกับวงการศึกษา

นางชัยพิศ กล่าวต่อว่า
สาเหตุที่สมาคมไม่ยอมให้เข้าเรียนน่าจะมาจากไม่ได้จ่ายเงินบริจาค
หรือเสียค่าแปะเจี๊ยะ คนละ 15,000-20,000 บาท
เพราะมีนักเรียนที่สอบและจับสลากไม่ได้อีกจำนวนมากที่ได้เข้าเรียนเพราะเสีย
เงินดังกล่าว จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา
เพราะได้ซื้อชุดนักเรียนและแบบเรียนเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งยังทำให้เด็กเสียกำลังใจ และอายเพื่อน

"หากสมาคมไม่ให้บุตรหลานเข้าเรียน
จะพาเด็กนักเรียนเดินทางมาประท้วงที่หน้าสำนักงานพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์
เขต 2 เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อไป" นางชัยพิศ กล่าว

สรรพสามิตบุรีรัมย์ขู่เอาผิดร้านค้า ฉวยโอกาสกักตุนขึ้นราคาบุหรี่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤษภาคม 2552 13:46 น.
บุรีรัมย์ - สรรพสามิตบุรีรัมย์ขู่ผิดเอเยนต์
และร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ฉวยโอกาสกักตุนและปรับขึ้นราคาบุหรี่
สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้บริโภค หลังมีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้ทางกรมสรรพสามิตยังไม่มีการประกาศปรับขึ้นภาษี

วันนี้ (14 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังมีกระแสข่าวรัฐบาลและกรมสรรพสามิตมีนโยบายจะปรับขึ้นภาษีบุหรี่
ได้มีเอเยนต์ ร้านค้าส่งและค้าปลีกบุหรี่หลายแห่งใน จ.บุรีรัมย์
ฉวยโอกาสกักตุน ปฏิเสธและประวิงการจำหน่าย
รวมทั้งมีการปรับขึ้นราคาบุหรี่โดยไม่ได้รับอนุญาต
สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้บริโภค
และร้านค้าปลีกบางแห่งขาดแคลนไม่มีบุหรี่บางยี่ห้อจำหน่ายนั้น

นายชัยโรจน์ ตรีภพ ผู้อำนวยการสรรพสามิตพื้นที่บุรีรัมย์ กล่าวว่า
ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบตามร้านค้าส่ง ค้าปลีก
ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้ว หากพบว่าผู้ประกอบการรายใดมีการกักตุน
ประวิง หรือปฏิเสธการจำหน่าย และปรับขึ้นราคาบุหรี่เอาเปรียบผู้บริโภค
จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดทันที
เพราะจากการร้องเรียนยังมีร้านค้าหลายแห่งฝ่าฝืนขายเกินราคาและมีการกักตุน
ไว้เก็งกำไรอยู่

"ขณะนี้กรมสรรพสามิตยังไม่อนุมัติหรือประกาศปรับขึ้นภาษีหรือราคา
บุหรี่แต่อย่างใด จึงขอความร่วมมือทั้งร้านค้าปลีกและค้าส่ง
ได้ขายในราคาเดิมจนกว่าจะมีการประกาศปรับขึ้นภาษีที่ชัดเจน" นายชัยโรจน์
กล่าว

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์หนุนชาวนาปลูกข้าวหอมฯ ปลอดสารพิษ-เพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน ปลอดภัย

บุรีรัมย์ - เกษตรจังหวัดบุรีรัมย์
หนุนชาวนาปลูกข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ
เพื่อเพิ่มมูลค่า-ลดต้นทุนการผลิต และปลอดภัยต่อผู้บริโภค
เผยปีนี้เกษตรกรไถกลบตอซังข้าวแทนการเผาแล้วกว่า 1 ล้านไร่
จากพื้นที่ปลูกข้าวทั้งจังหวัดกว่า 3.3 ล้านไร่
ชี้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ถึง 10%


วันนี้ (12 พ.ค.) นายสมบูรณ์ ซารัมย์ เกษตรจังหวัดบุรีรัมย์
เปิดเผยว่า ขอแนะนำให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษในฤดูกาลผลิตนี้
โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่หาได้จากท้องถิ่น งดการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี
เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งปลอดภัยต่อผู้บริโภค
สำหรับการไถกลบตอซังข้าวแทนการเผานั้น หลังได้มีการรณรงค์มานานกว่า 5 ปี
ในปีนี้ได้มีเกษตรกรไถกลบตอซังข้าวแทนการเผาแล้วกว่า 1 ล้านไร่
จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งจังหวัดกว่า 3,300,000 ไร่ รวมเกษตรกรกว่า
200,000 ราย โดยข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่จะเป็นข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพและขึ้นชื่อระดับประเทศ

ทั้งนี้ ทางจังหวัดบุรีรัมย์ และสำนักงานเกษตรจังหวัดบุรีรัมย์
ได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรผู้ทำนาข้าวไถกลบตอซังข้าวแทนการเผา
ทิ้งมาอย่างจริงจังต่อเนื่อง และเชื่อว่า
ในปีหน้าจะมีเกษตรกรหันมาไถกลบตอซังข้าวแทนการเผาเพิ่มขึ้นอีกนับแสนไร่
ซึ่งจากการสำรวจพบว่า
พื้นที่ที่มีการไถกลบตอซังข้าวทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น 10%

นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้เกษตรกรที่ทำนาหว่านหันมาทำนาดำ
เพราะได้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่า
ส่วนเกษตรกรที่มีพื้นที่นาอยู่ในพื้นที่แล้งซ้ำซาก หรือที่นาดอน
ควรมีการปรับเปลี่ยนจากการเพาะปลูกข้าว หันไปปลูกพืชไร่
หรือพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นแทน เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำ
ที่อาจส่งผลให้ต้นข้าวแห้งตายได้รับความเสียหายได้

"จังหวัด บุรีรัมย์มีพื้นที่นาดอนหรือพื้นที่แล้งซ้ำซากกว่า 30 %
ของพื้นที่การเกษตรทั้งจังหวัดกว่า 4 ล้านไร่ ส่วนมากอยู่ในแถบ อ.หนองกี่
อ.หนองหงส์ อ.ลำปลายมาศ อ.พุทไธสง และ อ.บ้านใหม่ไชยพจน์" นายสมบูรณ์
กล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000052880

ขนส่งบุรีรัมย์ขู่เชือด "รถรับ-ส่ง นร." เถื่อน หวั่นอุบัติเหตุสลดรับเปิดเทอม

บุรีรัมย์ -
ขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ขู่เอาผิดรถรับ-ส่งนักเรียนที่ไม่มีมาตรฐาน
ไม่มีอุปกรณ์ส่วนควบป้องกันความปลอดภัย ไม่ติดสติกเกอร์สะท้อนแสง
และไม่ได้รับอนุญาต ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด
เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุสลดรับเปิดเทอม

วันนี้ (13 พ.ค.) นายชัตรชัย ทองมี
ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
ขณะนี้เข้าสู่ช่วงเปิดเรียนของโรงเรียน สถานศึกษาต่างๆ
ทางสำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ ได้คุมเข้มรถรับ-ส่งนักเรียน
เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุสร้างความสูญเสียแก่ชีวิต
และสร้างความเศร้าสลดให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง
โดยทางขนส่งฯจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ประสานกับทางโรงเรียน
ออกตรวจรถรับ-ส่งนักเรียนทุกคันให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมการขนส่งทางบก

รถรับ-ส่งนักเรียนทุกคันต้องมีอุปกรณ์ส่วนควบ เช่น ค้อนทุบกระจก
ถังดับเพลิง ติดสติกเกอร์สะท้อนแสงข้อความว่า "รถรับ-ส่งนักเรียน"
ให้มองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 150 เมตร รวมทั้งต้องผ่านการตรวจสภาพทุก 6
เดือน พนักงานขับรถต้องได้รับการอบรมผ่านการรับรอง
และรับใบอนุญาตจากสำนักงานขนส่งจังหวัดฯ อย่างถูกต้อง
ซึ่งขณะนี้จังหวัดบุรีรัมย์มีรถที่ขึ้นทะเบียนรับ-ส่งนักเรียนที่สำนักงานขน
ส่งจังหวัดฯ และสำนักงานขนส่งสาขา รวมกว่า 300 คัน

"ยังมีรถรับ-ส่งนักเรียน ทั้งรถตู้ รถกระบะสองแถว
ที่ดัดแปลงเป็นรถรับ-ส่งนักเรียน แต่ไม่ผ่านการตรวจสอบสภาพรถ
และขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องอีกเป็นจำนวนมาก หากทางโรงเรียนแจ้ง
หรือเจ้าหน้าที่ตรวจพบ จะมีการเปรียบเทียบปรับดำเนินคดีตามกฎหมาย
พร้อมทั้งให้หยุดวิ่งรับ-ส่งนักเรียนทันที
เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียนที่ใช้บริการ" นายชัตรชัย กล่าว

เทศบาลบุรีรัมย์เร่งผลาญงบฯ ผุดสำนักงานใหม่ 35 ล้าน

บุรีรัมย์ - ทีมบริหารชุดใหม่เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เร่งผลาญงบฯ
ผุดสร้างสำนักงานใหม่ 5 ชั้น มูลค่ากว่า 35 ล้าน
อ้างเพื่อรองรับปริมาณงานและคนที่เพิ่มขึ้น ระบุใช้เป็นทั้งสำนักงาน
ที่ทำการ 18 ชุมชน ศูนย์รวมด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร

นางปาลีรัตน์ สมานประธาน นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า
ขณะนี้ทางเทศบาลฯมีโครงการสร้างสำนักงานแห่งใหม่
บริเวณด้านทิศใต้ของอาคารกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เนื่องจากสถานที่เดิมคับแคบและใช้การมาเวลานาน
อีกทั้งเพื่อรองรับปริมาณงานและพนักงานที่จะเข้ามาทำงานที่เพิ่มจำนวนมากจาก
เดิม และที่สำคัญคือเพื่อรองรับการบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึงด้วย

ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่เป็นอาคารขนาด 5 ชั้น มีชั้นใต้ดิน
ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งโครงสร้างอาคาร วัสดุอุปกรณ์ภายใน ไฟฟ้า
พร้อมติดตั้งลิฟต์ รวมจำนวนกว่า 35 ล้านบาท
ซึ่งนอกจากจะเป็นสำนักงานแล้วยังเป็นที่ทำการชุมชนทั้ง 18 ชุมชน
ในเขตเทศบาล เพื่อมาพบปะประชุมปรึกษาหารือ ประสานงานร่วมกัน

นอกจากนี้ ทางเทศบาลฯ
จะจัดทำศูนย์ข้อมูลข่าวสารเพื่อรวบรวมข่าวสารของเทศบาล และส่วนราชอื่น
มีห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตและสื่อคอมพิวเตอร์
รวมเบ็ดเสร็จอยู่ในอาคารแห่งนี้ด้วย ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง
คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

นางปาลีรัตน์กล่าวอีกว่า
สำหรับการทำงานภายในองค์กรเทศบาลเมืองบุรีรัมย์นั้นได้รับความร่วมมือจากทุก
ฝ่าย ทั้งคณะผู้บริหารและข้าราชการประจำ
นอกจากนั้นแล้วยังได้มีการจัดทำประชาคมผู้นำชุมชน
เพื่อต้องการทราบความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงว่าต้องการให้ทางเทศบาล
ช่วยอะไร

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรับฟังความคิดเห็นของทุกคน
เพราะความต้องการของแต่ละชุมชนนั้นไม่เหมือนกัน
รวมทั้งการจัดงบประมาณลงพื้นที่ตามความจำเป็นเร่งด่วน
และกระจายงบประมาณลงทุกพื้นที่
ส่วนงานภายในสำนักงานนั้นได้มีการพัฒนาบุคลากรภายในสำนักงาน
และข้าราชการทุกคนให้มีความกระตือรือร้นในการทำงานด้วย

from http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000053307

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์จัดงาน"ปรางค์กู่สวนแตง"ยิ่งใหญ่ - อนุรักษ์โบราณสถานล้ำค่าพันปี

บุรีรัมย์ - บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ จัดงาน
"ประเพณีปรางค์กู่สวนแตง"โบราณสถานล้ำค่า อายุ 1,000 ปียิ่งใหญ่
เพื่ออนุรักษ์โบราณสถาน
วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นรวมทั้งบุญบั้งไฟขอฝน
พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยว
สร้างความสมานสามัคคีระหว่างส่วนราชการปชช.ทุกตำบลชุมชน/หมู่บ้าน

วันที่ 9 พ.ค. เทศบาลตำบลบ้านใหม่ไชยพจน์ ร่วมกับ 5
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในเขต อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์
และส่วนราชการต่างๆ ได้จัดงาน "ประเพณีปรางค์กู่สวนแตงและบุญบั้งไฟ
ประจำปี 2552" ขึ้น ที่บริเวณปรางค์กู่สวนแตง ต.กู่สวนแตง
อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ
ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานเปิดงาน

ทั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์โบราณสถานปรางค์กู่สวนแตงอันล้ำค่า
ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รู้จัก
และเป็นการดึงดูดให้เดินทางเข้ามาเที่ยวชมปรางค์กู่สวนแตก
และแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานต่างๆ
ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดบุรีรัมย์ให้มากขึ้น

รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการแสดงประเพณีพื้นบ้านของชาวอีสาน
ตามตำนานพญาคันคาก (คางคก) ที่รบชนะพญาแถนเทพเจ้าแห่งฝน
พญาคันคากจึงขอให้พญาแถนบันดาลให้ฝนตกลงมา
สร้างความอุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์โลก พญาแถนจึงสั่งไว้ว่า
ถ้ามนุษย์ต้องการฝนเมื่อใดให้จุดบั้งไฟขึ้นเป็นสัญญาณบอก
แล้วจะบันดาลให้ฝนตกลงมาตามที่ต้องการ
ดังนั้นชาวอีสานจึงได้มีการจัดงานบุญบั้งไฟ
เพื่อบูชาพญาแถนตามความเชื่อและวิถีชีวิตของคนโบราณ
เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ก่อนถึงฤดูทำนาของเกษตรกร

นอกจากนั้นการจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสามัคคี
ระหว่างส่วนราชการ ราษฎรทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน
ให้รักใคร่สามัคคีกันมากยิ่งขึ้นด้วย
อีกทั้งเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เกิดความรัก
หวงแหนและรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่มีในท้องถิ่นของตนเอง
และเกิดจิตสำนึกที่ดีในการอนุรักษ์โบราณสถานให้มีสภาพสมบูรณ์
อยู่คู่บ้านคูเมืองตลอดไป

ส่วนกิจกรรมภายในงาน มีการประกอบพิธีบรวงสรวงปรางค์กู่สวนแตง
จัดขบวนแห่ ขบวนฟ้อนรำ ขบวนบั้งไฟอันสวยงามตระการตาจากทุกตำบล
ซึ่งสร้างความสนุกสนานผ่อนคลายความเครียด
ให้กับชาวบ้านและเกษตรกรที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ในช่วงค่ำวันเดียวกันนี้ ( 9 พ.ค.) ยังได้มีการแสดง แสง
สี เสียง "ตำนานปรางค์กู่สวนแตง" รวมทั้งการแสดงของนักเรียน
และชุมชนต่างๆ ในเขตอำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ การแข่งขันจุดบั้งไฟขึ้นสูง
และมหรสพสมโภชตลอดทั้งคืน เพื่อให้ประชาชน
และนักท่องเที่ยวได้ชมกันเต็มอิ่มอีกด้วย

นายมงคล สุระสัจจะ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
การจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการอนุรักษ์โบราณสถาน
วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว
ยังเป็นการสร้างความสมัคร สมาน สามัคคีระหว่างชาวบ้าน
และชุมชนในเขตอำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์อีกด้วย
ที่สำคัญปรางค์กู่สวนแตงถือเป็นโบราณสถานอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์
และยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์
ที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์หวงแหน ดูแลรักษาร่วมกันมาตลอดอีกด้วย

ทางด้าน นายภาคภูมิ ลิ้มรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านใหม่ไชยพจน์
กล่าวว่า การจัดงานประเพณีปรางค์กู่สวนแตงดังกล่าว วัตถุประสงค์หลักคือ
เป็นการสร้างความสามัคคีของประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ
ทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวโบราณสถาน
โดยเฉพาะปรางค์กู่สวนแตงถือเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ มีอายุร่วม 1,000 ปี
จึงมีการจัดงานประเพณีขึ้นทุกปี เพื่อประชาสัมพันธ์ดึงดูดให้ประชาชน
และนักท่องเที่ยว
ได้เดินทางเข้ามาเที่ยวชมและศึกษาประวัติความเป็นมาของปรางค์กู่สวนแตงแห่ง
นี้ นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นได้ในอีกทางหนึ่ง
ด้วย

ส่วนการบูรณะพัฒนาปรางค์กู่สวนแตงในอนาคตนั้น
ขณะนี้ทางเทศบาลได้ประสานกับสำนักศิลปากรที่ 12 จ.นครราชสีมา
เพื่อสำรวจออกแบบ
ก่อนที่จะบูรณะปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานที่สวยงาม
น่าศึกษาและเที่ยวชมมากขึ้น หากมีการสำรวจออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว ทางเทศบาลฯ
จะต้องจัดหางบประมาณมาดำเนินการบูรณะพัฒนาต่อไป

อนึ่ง ปรางค์กู่สวนแตงเป็นปรางค์อิฐ 3 องค์
สร้างเป็นแนวยาวเรียงกัน
เป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2
เป็นศิลปะสมัยปาปวน และแบบนครวัด จนถึงปัจจุบัน มีอายุร่วม 1,000 ปี
ที่ปรางค์ประธานองค์กลางมีทับหลังเป็นรูปศิวะนาฎราช และเทพองค์อื่นๆ
เล่นดนตรีประกอบ เช่น พระนลตรีกลอง พระพรมตีฉิ่ง พระอุมาถือไม้เท้าขาคน
เป็นต้น

ส่วนทับหลังด้านอื่นๆ เป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ รูปกุมารวตรา
กับรูปการกวนเกษียรสมุทร รูปวามนาตาร รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
รูปเทวดาทับเหนือเกียรติมุข ทับหลังบางชิ้นถูกโจรกรรมไปขายนอกประเทศ
และบางชิ้นได้กลับคืนมาซึ่งปัจจุบันจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิ
มาย จ.นครราชสีมา

ปรางค์กู่สวนแตง
เป็นอาคารสถานที่ประกอบกิจทางศาสนาในยุคที่ก่อสร้างขึ้นครั้งแรก
พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 ทรงนับถือศาสนาฮินดู
ปรางค์กู่สวนแตงจึงเป็นอาคารที่ประกอบกิจและประดิษฐานสิ่งที่เคารพนับถือใน
ศาสนาฮินดู และสร้างติดต่อกันมาจนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
พระองค์ทรงนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน สายนิกายวัชรยาน
จึงมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ประโยชน์เป็นอาคารที่ประกอบกิจ
และประดิษฐานสิ่งที่เคารพ ในพระพุทธศาสนาเรื่อยมา
จนตลอดรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

โดยปรางค์กู่สวนแตงแห่งนี้ทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถาน ตั้งแต่ วันที่ 8 มีนาคม 2478 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 74 ปี
ปัจจุบันเป็นโบราณสถานที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยโบราณ
โบราณวัตถุ และศิลปะวัตถุเป็นอย่างดี
อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานศิลปากรที่ 12 จ.นครราชสีมา

ปรางค์กู่สวนแตง ถือเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และในเดือน 6 ของทุกปี ชาวอำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์
จะร่วมกันจัดงานประเพณีปรางค์กู่สวนแตง
และงานบุญบั้งไฟเพื่อสืบทอดต่อกันมาเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบันนี้
และเช่นเดียวกับปีนี้

ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051821

บุรีรัมย์ร้านขายปลีกบุหรี่เดือดร้อน ร้องเอเยนต์ใหญ่ปิดร้านกักตุนเก็งกำไร

บุรีรัมย์ - ร้านค้าปลีกบุหรี่ จ.บุรีรัมย์
โอดเดือดร้อนหลังเอเยนต์ใหญ่ในจังหวัดปิดร้าน
ประกอบกับได้ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาล่วงหน้าถึงห่อละ 40-60 บาท
ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนตามไปด้วย ร้องสรรพสามิตตรวจสอบเอาผิดด่วน

วันนี้ (10 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังมีกระแสข่าวรัฐบาลประกาศจะขึ้นราคาบุหรี่ ทำให้เอเยนต์ใหญ่
และร้านค้าส่งหลายแห่งในจังหวัดบุรีรัมย์ได้มีการกักตุนบุหรี่
โดยเฉพาะเอเยนต์ใหญ่ได้ปิดร้านหลายวัน
ทำให้ร้านค้าปลีกหาซื้อบุหรี่มาจำนวนได้น้อย
รวมทั้งได้ฉวยโอกาสขึ้นราคาถึงห่อละ 40-60 บาท ทั้งๆ
ที่รัฐบาลยังไม่มีการประกาศขึ้นราคา
โดยอ้างว่าสินค้าน้อยสร้างความเดือดร้อนให้กับร้านค้าปลีก และผู้บริโภค
เพราะทางร้านค้าปลีกที่รับซื้อมาแพงจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาตามไปด้วย

นายจำนงค์ แสนทองสุขศรี
เจ้าของร้านค้าปลีกบุหรี่ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์แห่งหนึ่ง บอกว่า
รัฐบาลและกรมสรรพสามิตไม่ควรออกมาพูดก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาเหล้า
บุหรี่ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้เอเย่นต์รายใหญ่
และร้านค้าส่งฉวยโอกาสกักตุนไว้เก็งกำไร จนทำให้สินค้าต้องขาดตลาด
ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการร้านค้าปลีกและผู้บริโภค
จึงขอให้เร่งเข้ามาตรวจสอบเอาผิดกับผู้กักตุนอย่างเร่งด่วนด้วย
ก่อนที่ร้านค้าปลีกและผู้บริโภคจะเดือดร้อนมากกว่านี้

"ขอเรียกร้องให้กรมสรรพสามิต หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
เข้ามาตรวจสอบเอาผิด และแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับร้านค้าปลีก
และผู้บริโภคอย่างเร่งด่วนด้วย
เพราะขณะนี้ทั้งร้านค้าส่งและปลีกบางแห่งได้ปรับขึ้นราคามานานกว่า 1
สัปดาห์แล้ว" นายจำนงค์ กล่าว


ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000052038

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทศบาลบุรีรัมย์มอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ - ตามนโยบายเร่งด่วนรัฐบาล

บุรีรัมย์ - เทศบาลเมืองบุรีรัมย์มอบเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ ทั้ง 18
ชุมชนในเขตเทศบาลเมือง จำนวน 1,265 คน
ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านการสร้างหลักประกันรายได้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ
ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน

วันนี้ ( 5 พ.ค.) นางปาลีรัตน์ สมานประธาน
นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ พร้อมด้วยรองนายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล
(สท.) และปลัดเทศบาล ได้ร่วมกันมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ
60 ปี ขึ้นไป ทั้ง 18 ชุมชนในเขตเทศบาลเมือง รวมจำนวน 1,265 คนๆ ละ 500
บาท ที่ได้ขึ้นทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพตามนโยบายของรัฐบาล
ด้านการสร้างหลักประกันด้านรายได้
แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ
หรือไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้

นอกจากนี้ทางเทศบาลเมือง ยังได้พิจารณาดำเนินการจัดตั้งงบประมาณ
เพื่อสนับสนุนเป็นเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพเพิ่มเติม
ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุรายใหม่ คนพิการ ผู้ป่วยเอดส์ และผู้มีรายได้น้อย
คนๆ ละ 500 บาทต่อเดือนไปตลอดชีวิตอีกด้วย

นางปาลีรัตน์ สมานประธาน นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า
เห็นด้วยกับแนวนโยบายเร่งด่วนดังกล่าว เนื่องจากผู้สูงอายุ
เป็นกลุ่มบุคคลที่ควรให้ความสนใจดูแลเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อช่วยบรรเทาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
โดยมุ่งเป้าหมายให้ครอบครัว
สามารถให้การเลี้ยงดูกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวให้มีความสุข
สามารถพึ่งพาตนเอง และได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามควรแก่อัตภาพ
พร้อมทั้งให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม
และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยสะดวก
และปลอดภัยเท่าเทียมกับสมาชิกอื่นในสังคม
โดยไม่ต้องส่งเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์

นางปาลีรัตน์ กล่าวต่อว่า การกำหนดนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
เทศบาลเมืองบุรีรัมย์และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ได้สนับสนุนเป็นเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
รวมทั้งสิ้น 1,920 คน แยกเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 1,831 คน คนพิการ จำนวน 72
คน และผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 17 คน

ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000050398

สาธารณสุขบุรีรัมย์เฝ้าระวังอีก 14 วัน เด็ก 11 เดือนกลับจาก "นิวซีแลนด์"

บุรีรัมย์ - สาธารณสุขบุรีรัมย์ ลงพื้นที่ทำความเข้าใจครอบครัวเด็กชายวัย
11 เดือน หลังผลการตรวจยืนยันไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
แต่ยังต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดทั้งตัวเด็กและผู้สัมผัส ต่ออีก 14
วัน ขณะที่ยายเด็กสุดโล่งใจหลังวิตกกังวลเป็นห่วงหลานวัยกำลังน่ารัก
เผยลูกสาวไปทำงานห้างฯ ได้สามีชาวนิวซีแลนด์ นานทีกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี เด็กชายวัย 11 เดือน 1 ราย
จ.บุรีรัมย์ อยู่ในข่ายเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
หลังเดินทางกลับจากประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา
และผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
เมื่อเย็นวานนี้ (3 พ.ค.) ไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น
ล่าสุด วันนี้ (4 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.นายรังสรรค์ พนานุสรณ์
สาธารณสุขอำเภอบ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 134 หมู่ที่ 4 บ.โคกวัด ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน
จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านของ นางยืน จดรัมย์ อายุ 58 ปี มารดาของ นางอำภา
ดีประโคน บุตรสาว อายุ 20 ปี ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศนิวซีแลนด์
พร้อมลูกชาย วัย 11 เดือน
ที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับครอบครัว
และญาติพี่น้องพร้อมทั้งได้แนะนำชี้แจงทำความเข้าใจ ว่า
การผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันแล้วว่า
ไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเด็กแต่อย่างใด
ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก ขอให้ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ

แต่อย่างไรก็ตาม นายรังสรรค์ พนานุสรณ์ สาธารณสุขอำเภอบ้านด่าน
กล่าวว่า แม้เด็กจะไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
แต่ยังต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจวัดอุณหภูมิไข้ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น
เป็นเวลา 7-14 วัน รวมทั้งญาติพี่น้อง ผู้ใกล้ชิดและสัมผัสกับเด็กด้วย

โดยล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 3 พ.ค.เจ้าหน้าที่สาธารณสุข
วัดไข้ได้อุณหภูมิ 37.4 องศาเซลเซียส
แต่เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดของโรค
จึงต้องมีการวัดอุณหภูมิไข้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งทำความเข้าใจกับแม่
และญาติของเด็กอย่าได้ตื่นตระหนกหวาดกลัวจนเกินไป

ด้าน นางยืน จดรัมย์ อายุ 58 ปี มารดาของ นางอำภา ดีประโคน
กล่าวว่า ลูกสาวเดินทางกลับจากประเทศนิวซีแลนด์ มาถึงบ้าน
เมื่อเย็นวันที่ 2 พ.ค.พร้อมหลานชายวัย 11 เดือน
ด้วยความรักหลานเมื่อมาถึงก็กอดจูบหลาน จนมีเจ้าหน้าที่มาตรวจวัดไข้
บอกว่าหลานสงสัยอาจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ตนก็วิตกกังวลด้วยความห่วงใยหลาน แต่มาวันนี้ทราบว่า
หลานไม่มีเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็รู้สึกดีใจ
และจะดูแลหลานอย่างดี

"บุตรสาวไปทำงานขายของในห้างสรรพสินค้า ที่ประเทศนิวซีแลนด์
และได้แต่งงานกับสามีที่นั่น ช่วงนี้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน
พร้อมกับหลานชายวัย 11 เดือน ซึ่งนานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งหนึ่ง"
นางยืน กล่าว

ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000050000

อดีตสหายอีสานเตรียมบุกทำเนียบทวงสัญญา "66/23" ย้ำไม่ร่วมมุดใต้ดินป่วนชาติกับกลุ่มใด

บุรีรัมย์ - แกนนำ ผรท. หรืออดีตสหาย 15 จว.ภาคอีสาน และภาคกลาง 4
จว.กว่า 100 คน รวมตัวที่อนุสรณ์สถานประชาชนอีสานใต้ จ.บุรีรัมย์
แถลงย้ำจุดยืนไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวใต้ดินป่วนชาติหรือจับอาวุธขึ้นสู้สร้าง
ความรุนแรงเช่นอดีตกับกลุ่มเสื้อสีใดตามที่ถูกแอบอ้าง เผยภายใน 4-5 วัน
จะเคลื่อนพลกว่า 5,000 บุกทำเนียบ
ทวงสัญญาที่รัฐรับปากช่วยเหลือตามนโยบาย 66/23 ชี้
ผรท.ยึดแนวทางต่อสู้สันติ ไม่ก่อความรุนแรง
สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบุรีรัมย์ว่า
กลุ่มแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) 15 จังหวัดภาคอีสาน และ
ภาคกลาง 4 จังหวัด หรือ อดีตสหาย กว่า 100 คน นำโดย นายประภาส โงกสูงเนิน
ประธานสภาเครือข่ายประชาชน 4 ภาค
ได้รวมตัวกันที่อนุสรณ์สถานประชาชนอีสานใต้ บ.โคกเขา ต.โคกมะม่วง อ.ปะคำ
จ.บุรีรัมย์ ร่วมกันแถลงจุดยืนไม่เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มใดๆ
ตามที่มีบุคคลบางกลุ่มได้แอบอ้าง
และกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยจะเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวใต้ดินสร้าง
ความรุนแรงในสังคม หรือ
จับอาวุธขึ้นสู้อย่างเช่นในอดีตนั้นไม่เป็นความจริง

โดยทางกลุ่มมีจุดยืนของตัวเองในการร่วมกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง
ก่อให้เกิดความสงบสุข ไม่ทำร้ายประเทศไทย
และเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิตามข้อตกลง 66/23 เท่านั้น
ไม่มีนัยยะอื่นแอบแฝง และขอให้กลุ่มที่แอบอ้างได้หยุดการกระทำดังกล่าว
เพราะได้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีส่วนรู้
เห็นใดๆ เลย

นายประภาส โงกสูงเนิน ประธานสภาเครือข่ายประชาชน 4 ภาค หรือ อดีต
"สหายสุรศักดิ์" ได้กล่าวยืนยันว่า
กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยไม่เคยเข้าไปร่วมชุมนุมเคลื่อนไหว
สร้างความรุนแรงแตกแยกกับกลุ่มเสื้อสีใด ตามที่ถูกกล่าวอ้าง
ทางกลุ่มมีจุดยืนเดียวกันที่จะร่วมพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองและต่อสู้เรียก
ร้องสิทธิอันชอบธรรมให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนเท่านั้น
และแนวทางการต่อสู้ของกลุ่ม ผรท.เอง ก็จะต่อสู้ในทางสันติ
ไม่ก่อความรุนแรง หรือสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับส่วนรวม

ส่วนที่แกนนำกลุ่ม ผรท.ทั้งภาคอีสาน19 จังหวัด และภาคกลาง 4
จังหวัด มารวมตัวเพื่อแถลงจุดยืนในครั้งนี้
ก็เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าทางกลุ่ม
ผรท.ไม่เคยเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมกับกลุ่มเสื้อสีใด
และก็ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มการเมืองใด
อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาประเทศชาติบ้านเมืองก็วุ่นวายเสียหายมากอยู่แล้ว
และส่วนตนก็มีความคิดเห็นว่ากรณีที่กลุ่มเสื้อสีต่างๆ
ออกมาชุมนุมประท้วงนั้น ต่างอ้างว่าสู้ตามระบอบประชาธิปไตย
และสู้เพื่อประเทศชาติ แต่สิ่งที่กระทำกลับตรงกันข้าม
และหากทุกคนเป็นคนไทย รักประเทศไทย และยืนหยัดที่จะต่อสู้ปกป้องประเทศ
ก็ไม่ควรจะทำร้ายประเทศชาติให้เสียหายอย่างที่ผ่านมา

ทาง ด้านนายคำเส็ง บุญตาแสง หรือ อดีต"สหายซิวต้า"
แกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ระบุว่า ภายใน 4-5 วัน
กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยไม่น้อยกว่า 5,000 คน
จะรวมตัวไปเคลื่อนไหวที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
เพื่อเรียกร้องสิทธิขอที่ทำกินตามที่รัฐบาลเคยสัญญาไว้
ซึ่งที่ผ่านมาหลายรัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือตามที่ได้สัญญา
ซึ่งขณะนี้มีผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเพียงกว่า 1,000 คนเท่านั้น
จากสมาชิกผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในเขตภาคอีสานทั้งหมดร่วม 20,000 คน

ขณะที่ นายสุเนตร แก้วคำหาร หรืออดีต "สหายชัด"
เลขาประธานสภาเครือข่ายประชาชน 4 ภาค ระบุว่า ที่ผ่านมากลุ่ม
ผรท.ได้ต่อสู้เรียกร้องมาทุกรัฐบาล
แต่ไม่ได้การช่วยเหลือจากทางรัฐบาลตามที่ได้ทำพันธะสัญญาไว้ตามนโยบาย
66/23 เพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือทั้งที่ทำกิน
ที่อยู่อาศัย หรือแม้กระทั่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ

"มีเพียงยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ที่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจโดยจ่ายเงินชดเชยให้รายละ 125,000 บาท
เป็นบางส่วน ดังนั้น หากรัฐบาลยังไม่ให้การช่วยเหลือตามที่ได้ให้สัญญาไว้
ทางกลุ่มก็จะยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อไป" นายสุเนตร กล่าว

ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051044