วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศาลอุทธรณ์สั่งกรมทางฯชดใช้กว่า 2 ล้าน-คดี 3 พ่อลูกทนทุกข์ฟ้องเรียกค่าเสียหายนาน 7 ปี

บุรีรัมย์ - ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีอุทาหรณ์หน่วยงานรัฐชุ่ย
สั่งกรมทางหลวงชนบทชดใช้ค่าเสียหายกว่า 2 ล้าน ให้ 3
พ่อลูกหลังยื่นฟ้องประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ภรรยาเสียชีวิต
เผยทนทุกข์สู้คดีมานานกว่า 7 ปี
ขณะตัวเองเจ็บสาหัสพิการเดินไม่ได้ต้องเป็นหนี้กู้เงินมารักษาตัวเอง
และเป็นค่าเล่าเรียน-เลี้ยงดูลูกสาว 2 คน ทนายแฉสุดพิลึก
ตร.ตั้งข้อหาสามีขับ
จยย.ประมาทตกช่องถนนขาดทำผู้อื่นถึงแก่ชีวิตเพื่อเอาประกันแค่ 4 หมื่น
ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นความประมาทเลินเล่อของกรมทางฯ
ไม่ซ่อมแซมถนนขาดชำรุด

วันนี้ (26 มิ.ย.) นายวิวุฒิ มณีนิล
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และ นายพลกฤต เนาว์ประโคน
ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นตัวแทนมอบเช็คเงินสดจำนวน
2,085,833 บาท ให้กับ นายสุนันท์ สืบสิงห์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3
หมู่ 13 ต.นิคม อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค 3
มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้กรมทางหลวงชนบท
ชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ สืบสิงห์ และ บุตร 2 คน
กรณีกรมทางหลวงชนบทกระทำโดยประมาท ไม่ซ่อมแซมถนนสาย
บ้านหนองตาด-บ้านดงเย็น หมู่ ที่ 4 ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2546 นายสุนันท์ สืบสิงห์
ด.ญ.สุมาตรา สืบสิงห์ และ ด.ญ.สุมัสสา สืบสิงห์ บุตรสาว ได้เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องกรมทางหลวงชนบท ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีแพ่ง
หมายเลขดำที่ 2711/2546

โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2545 เวลาประมาณ 19.00 น.
นายสุนันท์ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ธ 5820 บุรีรัมย์ โดยมี
นางสติม ภรรยา ซ้อนท้ายไปตามถนนสายบ้านกระทุ่ม-อ.คูเมือง จากบ้านหนองตาด
ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง มุ่งหน้าไปตามถนนทางบ้านกระทุ่ม
ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบ้านดงเย็น ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

ปรากฏ ว่า ถนนเส้นดังกล่าว ชำรุด ขาดการซ่อมแซม
ซึ่งเป็นความประมาท ของกรมทางหลวงชนบท
จนทำให้รถจักรยานยนต์ตกลงไปในช่องถนนขาด เป็นเหตุให้ นางสติม ภรรยา
เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วน นายสุนันท์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังพิการเป็นอัมพาต จนถึงปัจจุบัน

ต่อมา นายสุนันท์ พร้อมลูกสาวทั้ง 2 คน
ได้เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์
โดยสภาทนายความบุรีรัมย์ มอบหมายให้ นายพลกฤต เนาว์ประโคน
เป็นทนายความยื่นฟ้อง กรมทางหลวงชนบท ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่
21 พ.ย.2546 โดยฟ้องเป็นคดีอนาถา

ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีคำพิพากษา เป็นคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่
585/2548 เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2548 ตัดสินให้กรมทางหลวงชนบท
ชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ และบุตรสาว 2 คน เป็นเงินจำนวน
1,505,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 1,408,325
บาท

ต่อมากรมทางหลวงชนบท ได้ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2548
และศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2551
ตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ให้กรมทางหลวงชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ และบุตร
เป็นจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ย ทั้งสิ้น 2,085,833 บาท
โดยศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 11
ก.พ.2552

ด้าน นายพลกฤต เนาว์ประโคน ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์
และเป็นทนายความที่รับผิดชอบคดีนี้ กล่าวว่า
คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่ปล่อยปละละเลยหน้าที่
เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ
ถือเป็นอีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจที่ประชาชนยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ
และศาลตัดสินให้ชนะคดี

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า
หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อหา นายสุนันท์
สืบสิงห์ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
และทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
เพียงเพื่อให้ได้รับเงินประกันตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถกว่า
40,000 บาท เท่านั้น โดยให้มารดาของ นางสติม
ผู้ตายเป็นผู้มาเซ็นชื่อไม่ติดใจเอาเรื่องกับ นายสุนันท์ สามี นางสติม
เอง ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นความประมาทเลินเล่อของกรมทางหลวงชนบท

ด้าน นายสุนันท์ สืบสิงห์ อายุ 46 ปี
กล่าวด้วยความปลาบปลื้มทั้งน้ำตา ว่า
หลังจากพนักงานสอบสวนกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดทำให้ภรรยาเสียชีวิต
แต่มาวันนี้ศาลได้พิพากษาให้ชนะคดี
และชดใช้ค่าเสียหายให้กับตนและบุตรสาวทั้งสองคน
ต้องขอขอบคุณสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ช่วยต่อสู้คดีมาถึง 7 ปี
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ รู้สึกซาบซึ้ง และจะไม่มีวันลืม
ถึงแม้จะไม่ลืมเหตุการณ์วันที่สูญเสียภรรยา
และเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
ซึ่งตนเองต้องพิการเป็นอัมพาตขาทั้ง 2 ข้างเดินไม่ได้
ไม่สามารถทำงานเลี้ยงบุตรทั้งสองคนได้ ทำให้ต้องไปยืมเงินจากญาติพี่น้อง
และกู้เงินเป็นหนี้สินร่วม 200,000 บาท
เพื่อมาเป็นค่าเล่าเรียนบุตรและค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งลำบากมาก

นายสุนันท์ กล่าวอีกว่า ส่วน เงินที่ได้ในวันนี้
จะนำไปชดใช้หนี้สินที่ยืมมารักษาตัวและส่งลูกสาวทั้งสองเรียนหนังสือมาตลอด
ช่วง 7 ปี ที่เหลือก็จะเก็บไว้เป็นทุนให้ลูกสาวทั้งสองเรียนหนังสือจนกว่าจะจบการศึกษา
เพราะตนไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนก่อน

นายวิวุฒิ มณีนิล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
คดีในกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
แต่มีประชาชนมาฟ้องร้องต่อศาลน้อยมาก
ประกอบกับประชาชนไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อหน่วย
งานของรัฐได้ ที่ผ่านมา
จะเป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องประชาชนที่ทำทรัพย์สินของทางราชการเสียหายมากกว่า
สำหรับคดีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ของคดีแพ่งที่น่าสนใจคดีหนึ่ง
ที่ประชาชนฟ้องร้องชนะหน่วยงานของรัฐ

"ศาลไม่ส่งเสริมให้ประชาชนหรือคู่กรณีมีการฟ้องร้องซึ่งกันและกัน
ทำให้เสียเวลาและเงิน อยากให้มีการเข้ามาปรึกษาและไกล่เกลี่ย
ยอมความกันที่ศาลจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
เป็นคดีความฟ้องร้องกันไม่มีที่สิ้นสุด" นายวิวุฒิ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาย หลังจากที่ นายสุนันท์
ได้รับเช็คเงินสดและนำไปขึ้นแล้ว ได้มอบเงินจำนวน 300,000 บาท
ให้กับสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์
เพื่อเป็นกองทุนสำหรับดำเนินการช่วยเหลือผู้ยากจนที่มาร้องทุกข์ขอความเป็น
ธรรมกับสภาทนายความด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072597

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น