วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เศรษฐีร้อยล้านบุรีรัมย์ตามหาผู้มีพระคุณ-พ้อหลังสื่อตีแผ่ชีวิตถูกรุมทึ้งขอเงินตรึม

บุรีรัมย์-เศรษฐีร้อยล้านวัย 72 ตามหาผู้มีพระคุณเคยส่งเสียให้เรียน
หวังตอบแทนคุณก่อนตาย พ้อหลังสื่อนำเรื่องราวชีวิตตีแผ่
ถูกคนหลายกลุ่มทั้งอ้างเป็นผู้ยากไร้ มูลนิธิฯ
โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือและขอเงินบริจาคเป็นจำนวนมาก
จนหวั่นเกิดผลกระทบในการดำเนินชีวิตและธุรกิจในครอบครัว
เกรงมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

วันที่ 27 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายประเสริฐ ปิ่นทอง
อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 ถนนประจันตเขต อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
เศรษฐีกตัญญูที่มีความต้องการอยากจะพบและตอบแทนผู้มีพระคุณสักครั้งก่อนตาย
ได้ออกมาพูดพ้อถึงการตีแผ่เรื่องราวชีวิตผ่านสื่อบางสื่อ
ถึงเส้นทางการดำเนินธุรกิจจากที่ไม่มีอะไรเลยจนกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
ทำให้มีผู้คนโทรศัพท์ทั้งอ้างเป็นผู้ยากไร้ และมูลนิธิต่างๆ
มาขอความช่วยเหลือ และรับบริจาค
จนเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจในครอบครัว

นายประเสริฐได้กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองว่า เป็นคน
ต.ห้วยทราย อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อตอนอายุ 6 ขวบ
พ่อเสียชีวิตด้วยโรคคอพอก อีก 6 เดือนต่อมา แม่ก็เสียชีวิตตามไปอีกคน
ทำให้ตนซึ่งเป็นลูกคนที่ 2 และพี่น้องเป็นหญิง 1 ชาย 4 รวม 4 คน
ต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง โดยมีพี่ป้าน้าอานำไปเลี้ยงดู
ส่วนตนไปอยู่กับอาที่อู่ต่อเรือแห่งหนึ่งใน ต.ห้วยขวาง อ.หนองแค
ระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
เลยย้ายไปอยู่ร้านทำเฟอร์นิเจอร์ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือน 30 บาท
อยู่มาไม่นานก็ย้ายไปทำงานอยู่โรงสีข้าวแถวราชวงศ์ ได้เงินเดือน 60 บาท
จากนั้นย้ายไปทำงานอยู่โรงกลึงย่านวรจักร ได้เงินเดือน 300 บาท
แต่ไม่เคยมีเงินเก็บ เพราะต้องส่งเสียให้น้องๆ
เรียนหนังสือและมีอนาคตที่ดี

นายประเสริฐเล่าถึงโชคชะตาชีวิตในช่วงหนึ่งว่า
ขณะที่ทำงานอยู่ในโรงกลึงช่วงนั้นอายุประมาณ 16 ปี
ได้มีชายคนหนึ่งอายุมากกว่าราว 5-6 ปี มาหาเพื่อนในโรงกลึง
เขาเห็นตนอาจจะถูกชะตา ได้เอ่ยถามว่าชื่ออะไร เรียนจบชั้นไหน
ตนตอบไปด้วยความซื่อว่า เรียนไม่จบ ป.4 เนื่องจากทางบ้านมีฐานะยากจน
ชายคนนั้นเลยถามต่อไปอีกว่า อยากจะเรียนหนังสือไหม อั๊วจะส่งลื้อไปเรียน
และออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ตนก็ตอบตกลงด้วยความดีใจว่าชายคนนั้นไม่ความคุ้นเคยรู้จักกับตนมา
ก่อนเลยแต่ทำไมถึงมีความหวังดีกับตน
สมัยนั้นตนได้เรียนหนังสือในระบบการศึกษาผู้ใหญ่
พร้อมนำไปฝากทำงานเป็นช่างฟิตในโรงสีข้าวแห่งหนึ่ง
ทำงานเป็นช่างรับติดตั้งเครื่องจักรในโรงสี ได้เงินเดือน 1,200 บาท
ซึ่งถือเป็นเงินที่มากที่สุดสำหรับตนในชีวิตแล้วช่วงนั้น

ด้วยความมุมานะไม่ย่อท้อกับงานทำให้มีความชำนาญเกี่ยวกับการติดตั้ง
เครื่องโรงสีข้าว
เถ้าแก่จึงได้มอบหมายให้ไปติดตั้งเครื่องโรงสีตามโรงสีทั้งในและตามจังหวัด
ต่างๆ ที่เถ้าแก่รับงานมา
ถึงแม้จะเป็นงานหนักต้องเดินทางไปติดตั้งครั้งละเป็นเดือนๆ ก็ตาม
จนตนมีเงินเก็บสะสมได้มากพอสมควร

ต่อมาไม่นานตนได้ลาออกมาเป็นลูกจ้างอยู่ที่โรงสีเทพนางรอง
อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จนแต่งงานมีครอบครัวกับ นางวงเดือน แซ่เต็ง
มีบุตรด้วยกัน 4 คน เป็นหญิง 1 ชาย 3 คน ขณะนี้มีครอบครัวหมดแล้ว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า
หลังจากมีครอบครัวแล้วก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
จึงได้ไปซื้อรถยนต์บรรทุกแบบทหาร มาใช้รับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสาร
พร้อมรับซื้อเป็ด ไก่ ข้าวเปลือกมาขายได้กำไรดีมาก มีกำไรตกวันละ 1,000
บาทถือว่าเป็นเงินที่มากพอสมควรในช่วงนั้น
จึงได้เก็บหอมรอมริบไปซื้อที่ดินสร้างโรงสีข้าวขึ้นเอง
และขยายกิจการเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันตนมีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี
มีตำแหน่งทางสังคมเป็นรองกรรมการสโมสรไลออนส์ อ.นางรอง
และรองกรรมการสมาคมศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนางรอง
ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นช่วยงานสังคม ทั้งกำลังกาย
และกำลังทรัพย์ทุกด้าน มีกิจการเป็นโรงสีข้าวใหญ่ที่สุดใน อ.นางรอง
มีฟาร์มหมู 15 แห่ง แม่พันธุ์หมูกว่า 500 ตัว และลูกหมูมากกว่า 9,000 ตัว
ซึ่งพ่อค้าหมูใน จ.ชลบุรี และสุพรรณบุรีมารับซื้อหมูที่ฟาร์มตนทั้งนั้น
และยังมีที่ดินกว่า 500 ไร่ ทำการเกษตรแบบชีวมวล
โดยการหมุนเวียนนำรำข้าวมาเลี้ยงปลาและหมู
เอาแกลบเป็นพลังงานทดแทนปั่นไฟใช้สำหรับเครื่องทำความเย็นในฟาร์มหมู

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า
ผู้มีพระคุณที่ส่งเสริมให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือ จนทำให้มีชีวิตร่ำรวย
คือ นายจันเหาะ แซ่ว่อง ซึ่งมีอายุแก่กว่าตนประมาณ 5 - 6 ปี
ปัจจุบันไม่ทราบอยู่ที่ไหน จำได้ว่าไม่ได้เจอกันมานานกว่า 50 ปีแล้ว
แต่ทุกวันนี้ยังระลึกถึงตลอดเวลา
และอยากพบหน้าเพื่อตอบแทนพระคุณก่อนที่ตนจะเสียชีวิต
ที่ผ่านมาเคยไปตามหาแถวสาทรใต้ กรุงเทพฯ
เพราะทราบว่าผู้มีพระคุณทำงานอยู่ที่บริษัทยนตรกิจ ย่านสุริวงศ์
แต่ก็ไม่พบ

ถึงแม้จะมีความพยายามไปขอความอนุเคราะห์
ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ที่ว่าการอำเภอนางรอง ช่วยหาชื่อ นายจันเหาะ
แซ่ว่อง แต่ก็ไม่พบอยู่ในสารระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า
ผู้ที่ตามหานั้น อาจเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยน"แซ่" เป็นนามสกุลอื่น
จึงไม่สามารถตามหาพบได้ เพราะในช่วงนั้นเทคโนโลยียังด้อยกว่าปัจจุบันมาก
ทุกวันตนได้เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า นายจันเหาะ ผู้มีพระคุณ
ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หากเสียชีวิตไปแล้ว
ก็คงมีทายาทให้สามารถติดต่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของนายจันเหาะได้

ขณะนี้ร่างกายก็แก่ชราลงทุกวัน เพราะมีอายุถึง 72 ปีแล้ว
และไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหน
แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากทำก่อนตาย คืออยากตอบแทนพระคุณ นายจันเหาะ
ที่ทำให้ตนและครอบครัวมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีในปัจจุบัน หากใครพบเจอ
นายจันเหาะ หรือทายาทที่เป็นบุตรหลาน ของผู้มีพระคุณท่านนี้
ก็อยากให้แจ้งมาให้ทราบด้วย
เพื่อที่จะได้ไปพบและตอบแทนพระคุณตามที่ได้ตั้งใจไว้

"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีสื่อบางสื่อได้นำเรื่องราวชีวิตไปตีแผ่
ได้มีผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ยากไร้ และมูลนิธิต่างๆ
โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือและขอรับบริจาคทั้งเงินและสิ่งของเป็นจำนวนมาก
จนเกรงว่าอาจส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต
และการประกอบธุรกิจในครอบครัวได้
เพราะก็ไม่ทราบว่าผู้ที่โทรศัพท์เข้ามานั้นมีจุดประสงค์ใดแอบแฝงอยู่หรือไม่
" นายประเสริฐ กล่าวตัดพ้อในตอนท้าย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072849

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น