วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์บวชเลือด! ทหาร-ตร.ฟัดวัยรุ่น ยายห้ามถูกยิงดับ 1 โจ๋สาหัส 2 - น้องสาวช็อกตายตาม

บุรีรัมย์บวชเลือด! ทหาร-ตร.ฟัดวัยรุ่น ยายห้ามถูกยิงดับ 1 โจ๋สาหัส 2 -
น้องสาวช็อกตายตาม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มิถุนายน 2552 08:16 น.
บุรีรัมย์ - ทหารเรือกลับมาบวชที่บ้านเกิดบุรีรัมย์
เพื่อนทหาร-ตร.ร่วมเพียบ ขณะแห่นาคเกิดเขม่นวัยรุ่นเจ้าถิ่นยกพวกตะลุมบอน
ยายญาตินาคโร่เข้าห้ามถูกยิงดับ ส่วนวัยรุ่นถูกยิงสาหัส 2
คนก่อเหตุเผ่นหาย
ส่วนน้องสาวป่วยมะเร็งรู้ข่าวพี่สาวตายเกิดช็อกตายตามอีก 1 ราย

วานนี้ (28 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 13.00 น.
พ.ต.ท.จิตรกร ประสงค์สุข สารวัตรเวร สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์
ได้รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย
จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ไพรัช สุขสงญาติ ผกก. พ.ต.ต.วิชัย ฉายไธสง
สวป. และกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง

ที่เกิดเหตุเป็นถนนภายในหมู่บ้านโคกจิก ม.1 ต.หนองเยือง
อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ พบกองเลือดกลางถนน ผู้เสียชีวิตทราบชื่อ นางเลียบ
ทำไธสง อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 ม.2 ต.หนองเยือง อ.บ้านใหม่ไชยพจน์
จ.บุรีรัมย์ ถูกยิง ด้วยอาวุธปืน ขนาด 9 มม. เข้าที่บริเวณหน้าอก จำนวน 1
นัด แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายโอภาส ลาดนอก อายุ 30 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 40 ม.1 ต.หนองเยือง อ.บ้านใหม่ไชยพจน์
ถูกยิงเข้าที่หน้าท้อง จำนวน 1 นัด อาการสาหัส และนายพัชระพงศ์ ศรียางนอก
อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5 ม.1 ต.หนองเยือง อ.บ้านใหม่ไชยพจน์
ถูกยิงเข้าที่ขาขวาทะลุ จำนวน 1 นัด อาการสาหัส
ถูกนำส่งโรงพยาบาลบ้านใหม่ไชยพจน์

จากการสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า
ก่อนเกิดเหตุมีการจัดงานบวชของ พ.จ.อ.อาทิตย์ วิถี อายุ 24 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.2 ต.หนองเยือง อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์
ซึ่งเป็นทหารเรืออยู่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
ได้กลับบ้านมาบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา โดยมีเพื่อนนาคซึ่งเป็นทั้ง ทหาร
ตำรวจ และเพื่อนในหมู่บ้านมาร่วมงานจำนวนมาก

ขณะกำลังแห่ขบวนนาคไปตามถนนรอบหมู่บ้าน ก่อนจะเข้าไปที่วัดโคกจิก
เพื่ออุปสมบท ได้มีกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นในหมู่บ้าน
ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คน ได้เข้ามาก่อกวนกลุ่มทหาร ตำรวจ
ที่เป็นเพื่อนนาค จนเกิดการชกต่อย และมีทหารได้รับบาดเจ็บ ซึ่งฝ่ายทหาร
ได้พยายามร้องขอให้เลิกชกต่อยกันก่อน และช่วยกันนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
แต่ทางกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวกับรุมเข้ามาทำร้ายอีก ขณะนั้น นางเลียบ
ทำไธสง อายุ 67 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นญาติของนาค
ได้เข้ามาห้ามพร้อมกับดึง 2 วัยรุ่นออกมา
ทันใดนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจำนวนหลายนัด ซึ่งกระสุนปืนได้ถูกนางเลียบ
และ 2 วัยรุ่น จนล้มฟุบ ก่อนกลุ่มเพื่อนนาคจะพากันหลบหนีไป
ต่อมาเวลาไล่เลี่ยกัน
ทางพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งว่าที่บ้านของนางเลียบ ทำไธสง น้องสาวคนตาย
ชื่อ นางปิ้ง ทำไธสง อายุ 60 ปี ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเต้านม
ตกใจหลังทราบข่าวว่าพี่สาวถูกยิงตาย ทำให้เกิดช็อกเสียชีวิตอีก 1 ราย

ด้าน พ.ต.อ.ไพรัช สุขสงญาติ ผกก.สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์
ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน
กระจายกำลังติดตามไล่ล่ากลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุแล้ว
ซึ่งคาดว่าจะสามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา
"ฆ่าคนตายโดยเจตนา" ได้ในเร็วๆ นี้
ซึ่งขณะนี้ทราบเบาะแสของมือปืนโหดดังกล่าวแล้ว

ล่าสุด ส.ต.ท.สมเกียรติ บรรดาศักดิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด
สภ.สุไงปาดี จ.นคราธิวาส บ้านเกิดอยู่ อ.ปะทาย จ.นครราชสีมา เพื่อนนาค
ที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงในงานบวช จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์แล้ว ซึ่งเบื้องต้น
เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา "ร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น"

ส่วน จ.อ.สุทัศน์ ตอบไธสง สังกัดเหล่าพลาธิการทหารเรือ
กรุงเทพมหานคร เพื่อนของนาค
ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐาน
พร้อมทั้งได้แจ้งไปยังต้นสังกัดและติดต่อให้ญาติทราบแล้ว เพื่อนำตัว
จ.อ.สุทัศน์ เข้ามามอบตัว และให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ
ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พันธมิตรฯบุรีรัมย์ เห็นชอบตั้งสภา พธม.จังหวัดประสานงานเชื่อมตำบล-อำเภอ

พันธมิตรฯบุรีรัมย์ เกือบทุกอำเภอร่วมสัมมนา ที่ค่ายมวยหนองกี่พาหุยุทธ
หนุนจัดตั้ง สภาพันธมิตรฯจังหวัด เป็นองค์กรประสานงานเชื่อมโยงอำเภอ-ตำบล
รอจัดตั้งคณะทำงานและเลือกประธานเป็นขั้นต่อไป ด้าน อ.สมเกียรติ
ร่วมบรรยายให้ความรู้ แซวคนบุรีรัมย์อดทนเป็นเยี่ยม
ยอมอยู่ใต้การควบคุมของนักการเมืองเพียงคนเดียว

ตั้งแต่เวลา 15.00 น.ของวันที่ 24 มิถุนายน
ชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากเกือบทุกอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์
ได้ทยอยเดินทางเข้าสู่ค่ายมวยหนองกี่พาหุยุทธ อำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์
กันอย่างคึกคัก เพื่อร่วมการสัมมนาจัดตั้งสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จังหวัดบุรีรัมย์ และปรากฏว่า ในช่วงการสัมมนา มีพันธมิตรฯ เกือบ 400
คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้น จนสิ้นสุดการสัมมนาเมื่อเวลา
17.00 น.นอกจากพันธมิตรฯจากบุรีรัมย์แล้ว ยังมีพันธมิตรฯ
จากจังหวัดใกล้เคียงก็เดินทางมาร่วมงานด้วย เช่น พันธมิตรฯจากอำเภอพิมาย
และอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา

นายปราโมทย์ หอยมุกข์ เจ้าของค่ายมวยหนองกี่พาหุยุทธ
ค่ายมวยไทยชื่อดังของบุรีรัมย์และของเมืองไทย เปิดเผยว่า
ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาของพันธมิตรฯหนองกี่
ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องสถานที่จัดสัมมนา
โดยได้จัดเตรียมสถานที่ไว้เตรียมรับเพื่อนพันธมิตรจากทุกอำเภอ รวม 23
อำเภอ ประมาณ 500 คน เป้าหมายหลักของงานวันนี้ คือ
ต้องจัดตั้งสภาพันธมิตรฯจังหวัดบุรีรัมย์ ให้สำเร็จ
และถือโอกาสที่พี่น้องมากันแล้วให้ได้ความรู้ทางการเมืองกลับบ้าน จึงเชิญ
อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาบรรยายในตอนเย็นด้วย

นายเสฎวุฒิ ชมภูพงษ์ เลขาธิการพันธมิตรฯ อำเภอเมืองบุรีรัมย์
กล่าวภายหลังการสัมมนาว่า สภาพันธมิตรฯจังหวัด
มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานการเมืองแบบใหม่
ที่จะต้องมาถึงภายในเร็วๆ นี้ หากมีพันธมิตรฯ ระดับอำเภอไม่ครบทุกอำเภอ
ย่อมยากที่จะเชื่อมลงไปถึงระดับ ตำบล หมู่บ้าน นอกจากนั้น
ยังต้องมีสภาพันธมิตรฯระดับจังหวัดด้วย
เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรประสานงาน
วันนี้การสัมมนาถือว่าก้าวหน้าไปอย่างน่าพอใจ
ยังขาดแต่ขั้นตอนการเลือกประธานและคณะทำงานระดับจังหวัดเท่านั้น
ซึ่งกำหนดจะเลือกตั้งในในเร็วๆ นี้

สำหรับภาคการบรรยาย เริ่มในเวลา 17.30 น.โดย นายเทิดภูมิ ใจดี
ทำหน้าที่บรรยายในช่วงแรก
เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงชีวิตการต่อสู้ของตนในขบวนต่อสู้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยย้ำว่าพลังของประชาชน คือ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคม
ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด

จนกระทั่งเวลา 18.00 น.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นบรรยาย
โดยได้พูดถึงอดีตของตนที่เกี่ยวพันกับจังหวัดบุรีรัมย์
คนบุรีรัมย์และองค์กรชาวบ้านในบุรีรัมย์
ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติการต่อสู้ทางการเมือง เช่น
การปะทะกันด้วยกำลังอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
การต่อสู้ประท้วงของชาวนาชาวไร่ การรักษาทรัพยากรป่าไม้ของพระประจักษ์
คุตตจิตโต แห่งสำนักสงฆ์ป่าดงใหญ่ รวมทั้งสองครูนักต่อสู้อย่าง ครูทิม
บุญอิ้ง และ ครูสมใจ อุตรวิเชียร ที่ถูกยิงเสียชีวิต ล้วนแต่มีคุณค่า
มีเกียรติประวัติที่น่ายกย่องทั้งสิ้น แต่วันนี้คนบุรีรัมย์ทั้งจังหวัด
ทำไมจึงตกอยู่ภายในอิทธิพลของนักการเมืองเพียงคนเดียว ตระกูลเดียว
ไม่รู้ทนกันได้อย่างไร ไม่รู้ว่าพลังแห่งการต่อสู้หายไปไหนหมด
และไม่รู้ว่าจะปลดแอกได้ในวันใด

นายสมเกียรติ ยังกล่าวถึงการเมืองในสภาผู้แทนฯ ว่า ค่อนข้างหดหู่
ไม่มีอะไรดีขึ้นงบประมาณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ และงบอะไรต่างๆ นานา
ที่ทุ่มลงไป กลับหายจ๋อยไม่มีวี่แววหรือเสียงสะท้อนออกมาเลย

สำหรับพรรคการเมืองใหม่ นายสมเกียรติ บอกว่า แกนนำทั้ง 5
คนตกลงกันแล้วว่า จะไม่ลงเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในครั้งนี้อย่างแน่นอน
ส่วนการคัดเลือกผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในแต่ละจังหวัด
ถือว่าเป็นหน้าที่ของพันธมิตรฯ
จังหวัดที่จะเป็นผู้เสนอชื่อของผู้ที่จะลงเลือกตั้งส่งไปที่พรรคการเมือง
ใหม่ โดยพรรคการเมืองใหม่จะไม่เป็นฝ่ายเสนอชื่อก่อนอย่างเด็ดขาด
จะทำอย่างเดียวเท่านั้นว่าจะเอาหรือไม่เอา หากไม่เอา
เพราะมีข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม ทางพันธมิตรฯจังหวัด
ก็ต้องไปสรรหาใหม่แล้วส่งมาอีกครั้ง

การบรรยายของ นายสมเกียรติ เสร็จสิ้นเมื่อเวลา 19.30
น.หลังจากนั้น เป็นการรับประทานอาหารและร้องเพลงของชาวพันธมิตรฯ
และการพูดคุยสังสรรค์จนดึกจึงเลิกงาน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072133

เศรษฐีร้อยล้านบุรีรัมย์ตามหาผู้มีพระคุณ-พ้อหลังสื่อตีแผ่ชีวิตถูกรุมทึ้งขอเงินตรึม

บุรีรัมย์-เศรษฐีร้อยล้านวัย 72 ตามหาผู้มีพระคุณเคยส่งเสียให้เรียน
หวังตอบแทนคุณก่อนตาย พ้อหลังสื่อนำเรื่องราวชีวิตตีแผ่
ถูกคนหลายกลุ่มทั้งอ้างเป็นผู้ยากไร้ มูลนิธิฯ
โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือและขอเงินบริจาคเป็นจำนวนมาก
จนหวั่นเกิดผลกระทบในการดำเนินชีวิตและธุรกิจในครอบครัว
เกรงมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

วันที่ 27 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายประเสริฐ ปิ่นทอง
อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 ถนนประจันตเขต อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
เศรษฐีกตัญญูที่มีความต้องการอยากจะพบและตอบแทนผู้มีพระคุณสักครั้งก่อนตาย
ได้ออกมาพูดพ้อถึงการตีแผ่เรื่องราวชีวิตผ่านสื่อบางสื่อ
ถึงเส้นทางการดำเนินธุรกิจจากที่ไม่มีอะไรเลยจนกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
ทำให้มีผู้คนโทรศัพท์ทั้งอ้างเป็นผู้ยากไร้ และมูลนิธิต่างๆ
มาขอความช่วยเหลือ และรับบริจาค
จนเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจในครอบครัว

นายประเสริฐได้กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองว่า เป็นคน
ต.ห้วยทราย อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อตอนอายุ 6 ขวบ
พ่อเสียชีวิตด้วยโรคคอพอก อีก 6 เดือนต่อมา แม่ก็เสียชีวิตตามไปอีกคน
ทำให้ตนซึ่งเป็นลูกคนที่ 2 และพี่น้องเป็นหญิง 1 ชาย 4 รวม 4 คน
ต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง โดยมีพี่ป้าน้าอานำไปเลี้ยงดู
ส่วนตนไปอยู่กับอาที่อู่ต่อเรือแห่งหนึ่งใน ต.ห้วยขวาง อ.หนองแค
ระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
เลยย้ายไปอยู่ร้านทำเฟอร์นิเจอร์ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือน 30 บาท
อยู่มาไม่นานก็ย้ายไปทำงานอยู่โรงสีข้าวแถวราชวงศ์ ได้เงินเดือน 60 บาท
จากนั้นย้ายไปทำงานอยู่โรงกลึงย่านวรจักร ได้เงินเดือน 300 บาท
แต่ไม่เคยมีเงินเก็บ เพราะต้องส่งเสียให้น้องๆ
เรียนหนังสือและมีอนาคตที่ดี

นายประเสริฐเล่าถึงโชคชะตาชีวิตในช่วงหนึ่งว่า
ขณะที่ทำงานอยู่ในโรงกลึงช่วงนั้นอายุประมาณ 16 ปี
ได้มีชายคนหนึ่งอายุมากกว่าราว 5-6 ปี มาหาเพื่อนในโรงกลึง
เขาเห็นตนอาจจะถูกชะตา ได้เอ่ยถามว่าชื่ออะไร เรียนจบชั้นไหน
ตนตอบไปด้วยความซื่อว่า เรียนไม่จบ ป.4 เนื่องจากทางบ้านมีฐานะยากจน
ชายคนนั้นเลยถามต่อไปอีกว่า อยากจะเรียนหนังสือไหม อั๊วจะส่งลื้อไปเรียน
และออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ตนก็ตอบตกลงด้วยความดีใจว่าชายคนนั้นไม่ความคุ้นเคยรู้จักกับตนมา
ก่อนเลยแต่ทำไมถึงมีความหวังดีกับตน
สมัยนั้นตนได้เรียนหนังสือในระบบการศึกษาผู้ใหญ่
พร้อมนำไปฝากทำงานเป็นช่างฟิตในโรงสีข้าวแห่งหนึ่ง
ทำงานเป็นช่างรับติดตั้งเครื่องจักรในโรงสี ได้เงินเดือน 1,200 บาท
ซึ่งถือเป็นเงินที่มากที่สุดสำหรับตนในชีวิตแล้วช่วงนั้น

ด้วยความมุมานะไม่ย่อท้อกับงานทำให้มีความชำนาญเกี่ยวกับการติดตั้ง
เครื่องโรงสีข้าว
เถ้าแก่จึงได้มอบหมายให้ไปติดตั้งเครื่องโรงสีตามโรงสีทั้งในและตามจังหวัด
ต่างๆ ที่เถ้าแก่รับงานมา
ถึงแม้จะเป็นงานหนักต้องเดินทางไปติดตั้งครั้งละเป็นเดือนๆ ก็ตาม
จนตนมีเงินเก็บสะสมได้มากพอสมควร

ต่อมาไม่นานตนได้ลาออกมาเป็นลูกจ้างอยู่ที่โรงสีเทพนางรอง
อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จนแต่งงานมีครอบครัวกับ นางวงเดือน แซ่เต็ง
มีบุตรด้วยกัน 4 คน เป็นหญิง 1 ชาย 3 คน ขณะนี้มีครอบครัวหมดแล้ว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า
หลังจากมีครอบครัวแล้วก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
จึงได้ไปซื้อรถยนต์บรรทุกแบบทหาร มาใช้รับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสาร
พร้อมรับซื้อเป็ด ไก่ ข้าวเปลือกมาขายได้กำไรดีมาก มีกำไรตกวันละ 1,000
บาทถือว่าเป็นเงินที่มากพอสมควรในช่วงนั้น
จึงได้เก็บหอมรอมริบไปซื้อที่ดินสร้างโรงสีข้าวขึ้นเอง
และขยายกิจการเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันตนมีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี
มีตำแหน่งทางสังคมเป็นรองกรรมการสโมสรไลออนส์ อ.นางรอง
และรองกรรมการสมาคมศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนางรอง
ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นช่วยงานสังคม ทั้งกำลังกาย
และกำลังทรัพย์ทุกด้าน มีกิจการเป็นโรงสีข้าวใหญ่ที่สุดใน อ.นางรอง
มีฟาร์มหมู 15 แห่ง แม่พันธุ์หมูกว่า 500 ตัว และลูกหมูมากกว่า 9,000 ตัว
ซึ่งพ่อค้าหมูใน จ.ชลบุรี และสุพรรณบุรีมารับซื้อหมูที่ฟาร์มตนทั้งนั้น
และยังมีที่ดินกว่า 500 ไร่ ทำการเกษตรแบบชีวมวล
โดยการหมุนเวียนนำรำข้าวมาเลี้ยงปลาและหมู
เอาแกลบเป็นพลังงานทดแทนปั่นไฟใช้สำหรับเครื่องทำความเย็นในฟาร์มหมู

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า
ผู้มีพระคุณที่ส่งเสริมให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือ จนทำให้มีชีวิตร่ำรวย
คือ นายจันเหาะ แซ่ว่อง ซึ่งมีอายุแก่กว่าตนประมาณ 5 - 6 ปี
ปัจจุบันไม่ทราบอยู่ที่ไหน จำได้ว่าไม่ได้เจอกันมานานกว่า 50 ปีแล้ว
แต่ทุกวันนี้ยังระลึกถึงตลอดเวลา
และอยากพบหน้าเพื่อตอบแทนพระคุณก่อนที่ตนจะเสียชีวิต
ที่ผ่านมาเคยไปตามหาแถวสาทรใต้ กรุงเทพฯ
เพราะทราบว่าผู้มีพระคุณทำงานอยู่ที่บริษัทยนตรกิจ ย่านสุริวงศ์
แต่ก็ไม่พบ

ถึงแม้จะมีความพยายามไปขอความอนุเคราะห์
ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ที่ว่าการอำเภอนางรอง ช่วยหาชื่อ นายจันเหาะ
แซ่ว่อง แต่ก็ไม่พบอยู่ในสารระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า
ผู้ที่ตามหานั้น อาจเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยน"แซ่" เป็นนามสกุลอื่น
จึงไม่สามารถตามหาพบได้ เพราะในช่วงนั้นเทคโนโลยียังด้อยกว่าปัจจุบันมาก
ทุกวันตนได้เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า นายจันเหาะ ผู้มีพระคุณ
ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หากเสียชีวิตไปแล้ว
ก็คงมีทายาทให้สามารถติดต่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของนายจันเหาะได้

ขณะนี้ร่างกายก็แก่ชราลงทุกวัน เพราะมีอายุถึง 72 ปีแล้ว
และไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหน
แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากทำก่อนตาย คืออยากตอบแทนพระคุณ นายจันเหาะ
ที่ทำให้ตนและครอบครัวมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีในปัจจุบัน หากใครพบเจอ
นายจันเหาะ หรือทายาทที่เป็นบุตรหลาน ของผู้มีพระคุณท่านนี้
ก็อยากให้แจ้งมาให้ทราบด้วย
เพื่อที่จะได้ไปพบและตอบแทนพระคุณตามที่ได้ตั้งใจไว้

"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีสื่อบางสื่อได้นำเรื่องราวชีวิตไปตีแผ่
ได้มีผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ยากไร้ และมูลนิธิต่างๆ
โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือและขอรับบริจาคทั้งเงินและสิ่งของเป็นจำนวนมาก
จนเกรงว่าอาจส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต
และการประกอบธุรกิจในครอบครัวได้
เพราะก็ไม่ทราบว่าผู้ที่โทรศัพท์เข้ามานั้นมีจุดประสงค์ใดแอบแฝงอยู่หรือไม่
" นายประเสริฐ กล่าวตัดพ้อในตอนท้าย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072849

ศาลอุทธรณ์สั่งกรมทางฯชดใช้กว่า 2 ล้าน-คดี 3 พ่อลูกทนทุกข์ฟ้องเรียกค่าเสียหายนาน 7 ปี

บุรีรัมย์ - ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีอุทาหรณ์หน่วยงานรัฐชุ่ย
สั่งกรมทางหลวงชนบทชดใช้ค่าเสียหายกว่า 2 ล้าน ให้ 3
พ่อลูกหลังยื่นฟ้องประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ภรรยาเสียชีวิต
เผยทนทุกข์สู้คดีมานานกว่า 7 ปี
ขณะตัวเองเจ็บสาหัสพิการเดินไม่ได้ต้องเป็นหนี้กู้เงินมารักษาตัวเอง
และเป็นค่าเล่าเรียน-เลี้ยงดูลูกสาว 2 คน ทนายแฉสุดพิลึก
ตร.ตั้งข้อหาสามีขับ
จยย.ประมาทตกช่องถนนขาดทำผู้อื่นถึงแก่ชีวิตเพื่อเอาประกันแค่ 4 หมื่น
ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นความประมาทเลินเล่อของกรมทางฯ
ไม่ซ่อมแซมถนนขาดชำรุด

วันนี้ (26 มิ.ย.) นายวิวุฒิ มณีนิล
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และ นายพลกฤต เนาว์ประโคน
ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นตัวแทนมอบเช็คเงินสดจำนวน
2,085,833 บาท ให้กับ นายสุนันท์ สืบสิงห์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3
หมู่ 13 ต.นิคม อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค 3
มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้กรมทางหลวงชนบท
ชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ สืบสิงห์ และ บุตร 2 คน
กรณีกรมทางหลวงชนบทกระทำโดยประมาท ไม่ซ่อมแซมถนนสาย
บ้านหนองตาด-บ้านดงเย็น หมู่ ที่ 4 ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2546 นายสุนันท์ สืบสิงห์
ด.ญ.สุมาตรา สืบสิงห์ และ ด.ญ.สุมัสสา สืบสิงห์ บุตรสาว ได้เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องกรมทางหลวงชนบท ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีแพ่ง
หมายเลขดำที่ 2711/2546

โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2545 เวลาประมาณ 19.00 น.
นายสุนันท์ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ธ 5820 บุรีรัมย์ โดยมี
นางสติม ภรรยา ซ้อนท้ายไปตามถนนสายบ้านกระทุ่ม-อ.คูเมือง จากบ้านหนองตาด
ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง มุ่งหน้าไปตามถนนทางบ้านกระทุ่ม
ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบ้านดงเย็น ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

ปรากฏ ว่า ถนนเส้นดังกล่าว ชำรุด ขาดการซ่อมแซม
ซึ่งเป็นความประมาท ของกรมทางหลวงชนบท
จนทำให้รถจักรยานยนต์ตกลงไปในช่องถนนขาด เป็นเหตุให้ นางสติม ภรรยา
เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วน นายสุนันท์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังพิการเป็นอัมพาต จนถึงปัจจุบัน

ต่อมา นายสุนันท์ พร้อมลูกสาวทั้ง 2 คน
ได้เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์
โดยสภาทนายความบุรีรัมย์ มอบหมายให้ นายพลกฤต เนาว์ประโคน
เป็นทนายความยื่นฟ้อง กรมทางหลวงชนบท ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่
21 พ.ย.2546 โดยฟ้องเป็นคดีอนาถา

ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีคำพิพากษา เป็นคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่
585/2548 เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2548 ตัดสินให้กรมทางหลวงชนบท
ชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ และบุตรสาว 2 คน เป็นเงินจำนวน
1,505,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 1,408,325
บาท

ต่อมากรมทางหลวงชนบท ได้ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2548
และศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2551
ตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ให้กรมทางหลวงชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายสุนันท์ และบุตร
เป็นจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ย ทั้งสิ้น 2,085,833 บาท
โดยศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 11
ก.พ.2552

ด้าน นายพลกฤต เนาว์ประโคน ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์
และเป็นทนายความที่รับผิดชอบคดีนี้ กล่าวว่า
คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่ปล่อยปละละเลยหน้าที่
เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ
ถือเป็นอีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจที่ประชาชนยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ
และศาลตัดสินให้ชนะคดี

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า
หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อหา นายสุนันท์
สืบสิงห์ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
และทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
เพียงเพื่อให้ได้รับเงินประกันตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถกว่า
40,000 บาท เท่านั้น โดยให้มารดาของ นางสติม
ผู้ตายเป็นผู้มาเซ็นชื่อไม่ติดใจเอาเรื่องกับ นายสุนันท์ สามี นางสติม
เอง ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นความประมาทเลินเล่อของกรมทางหลวงชนบท

ด้าน นายสุนันท์ สืบสิงห์ อายุ 46 ปี
กล่าวด้วยความปลาบปลื้มทั้งน้ำตา ว่า
หลังจากพนักงานสอบสวนกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดทำให้ภรรยาเสียชีวิต
แต่มาวันนี้ศาลได้พิพากษาให้ชนะคดี
และชดใช้ค่าเสียหายให้กับตนและบุตรสาวทั้งสองคน
ต้องขอขอบคุณสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ช่วยต่อสู้คดีมาถึง 7 ปี
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ รู้สึกซาบซึ้ง และจะไม่มีวันลืม
ถึงแม้จะไม่ลืมเหตุการณ์วันที่สูญเสียภรรยา
และเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
ซึ่งตนเองต้องพิการเป็นอัมพาตขาทั้ง 2 ข้างเดินไม่ได้
ไม่สามารถทำงานเลี้ยงบุตรทั้งสองคนได้ ทำให้ต้องไปยืมเงินจากญาติพี่น้อง
และกู้เงินเป็นหนี้สินร่วม 200,000 บาท
เพื่อมาเป็นค่าเล่าเรียนบุตรและค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งลำบากมาก

นายสุนันท์ กล่าวอีกว่า ส่วน เงินที่ได้ในวันนี้
จะนำไปชดใช้หนี้สินที่ยืมมารักษาตัวและส่งลูกสาวทั้งสองเรียนหนังสือมาตลอด
ช่วง 7 ปี ที่เหลือก็จะเก็บไว้เป็นทุนให้ลูกสาวทั้งสองเรียนหนังสือจนกว่าจะจบการศึกษา
เพราะตนไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนก่อน

นายวิวุฒิ มณีนิล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
คดีในกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
แต่มีประชาชนมาฟ้องร้องต่อศาลน้อยมาก
ประกอบกับประชาชนไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อหน่วย
งานของรัฐได้ ที่ผ่านมา
จะเป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องประชาชนที่ทำทรัพย์สินของทางราชการเสียหายมากกว่า
สำหรับคดีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ของคดีแพ่งที่น่าสนใจคดีหนึ่ง
ที่ประชาชนฟ้องร้องชนะหน่วยงานของรัฐ

"ศาลไม่ส่งเสริมให้ประชาชนหรือคู่กรณีมีการฟ้องร้องซึ่งกันและกัน
ทำให้เสียเวลาและเงิน อยากให้มีการเข้ามาปรึกษาและไกล่เกลี่ย
ยอมความกันที่ศาลจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
เป็นคดีความฟ้องร้องกันไม่มีที่สิ้นสุด" นายวิวุฒิ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาย หลังจากที่ นายสุนันท์
ได้รับเช็คเงินสดและนำไปขึ้นแล้ว ได้มอบเงินจำนวน 300,000 บาท
ให้กับสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์
เพื่อเป็นกองทุนสำหรับดำเนินการช่วยเหลือผู้ยากจนที่มาร้องทุกข์ขอความเป็น
ธรรมกับสภาทนายความด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072597

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สลด! พิษรักสามเส้า 2 หนุ่มสาวบุรีรัมย์คิดคว้า 9 มม.จ่อขมับดับทั้งคู่

บุรีรัมย์ - สลด 2 หนุ่มสาว แก้ปัญหาปมรักสามเส้าไม่ตก ควบ
จยย.ยึดป้อมยามร้างทางเข้าค่ายลูกเสือ เคลียร์ปัญหารักแก้ไม่ตก โทรฯ
แจ้งน้าสาวมารับศพ ก่อนลั่นไกปืน 9 มม. เข้าขมับแฟนสาวตายต่อหน้า
จากนั้นหันปากปืนจ่อขมับตัวเองจบชีวิตรักทั้งสองคน

ช่วงบ่ายวันนี้ ( 25 มิ.ย.) พ.ต.ต.สยาม เกียรติบรรจง สารวัตเวรฯ
สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเหตุวัยรุ่นยิงกันตาย 2 ศพ
บริเวณข้างป้อมยาม ทางเข้าค่ายลูกเสือ บ้านน้ำซับ หมู่ 13 ต.เสม็ด
อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จึงได้รายงานให้ พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์
ผบก.บุรีรัมย์ พ.ต.อ.วีรวรรธน์ เธียรสุวรรณ รอง ผบก.บุรีรัมย์
พ.ต.อ.รุทธพล เนาวรัตน์ ผกก.ทราบ ก่อนจะรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พร้อมแพทย์เวรโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
และเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์

ที่เกิดเหตุบริเวณป่าเขากระโดง ห่างจาก ถนนสายบุรีรัมย์- สุรินทร์
ประมาณ 10 เมตร ตรงป้อมยาม ทางเข้าค่ายลูกเสือบุญญานุศาสน์
พบชาวบ้านจำนวนมากกำลังมุงดูศพ 2 วัยรุ่น ชายหญิงนอนเสียชีวิตใกล้
กับรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีแดง หมายเลขทะเบียน กลว 554 บุรีรัมย์
ที่ตะแกรงด้านหน้ามีน้ำอัดลมว่างอยู่ 1 ขวด

ทราบชื่อผู้ตาย คือ น.ส.ปนัดดา แก้วศรี อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่
186 หมู่ 18 บ.หนองปรือพัฒนา ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ สภาพศพ
ถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด 9 มม. ดาวแดง จำนวน 1 นัด
เข้าที่ขมับซ้ายทะลุหางคิ้วขวา นอนเสียชีวิต โดยมีร่างนายฉลาด เกรยรัมย์
อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 167 หมู่ 17 บ.เอกมัย ต.สวายจึก อ.เมือง
จ.บุรีรัมย์ ถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาดเดียวกัน จำนวน 1 นัด
เข้าที่ขมับขวาทะลุเหนือหูซ้าย นอนเสียชีวิตทับร่าง น.ส.ปนัดดา
จมกองเลือดเป็นที่น่าสยดสยอง และ ยังพบปืนขนาด 9 มม.
ตกอยู่ระหว่างขาบนแขนของผู้ตายทั้งสอง ใกล้กันพบปลอกกระสุนปืนตกอยู่
จำนวน 2 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบถาม นางสาวแอ๋ว ไชยสุวรรณ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132
หมู่ 17 บ.สวายจีก ต.สวายจีก อ.เมือ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นน้าสาวของ
นายฉลาด ผู้ตาย กล่าวว่า เมื่อประมาณช่วงเที่ยงวันเศษ ของวันนี้ นายฉลาด
ได้โทรศัพท์เข้ามือถือของตนแต่หลานเป็นคนรับ บอกว่า ให้มารับศพนายฉลาด
ด้วย ตรงบริเวณป้อมยามทางเข้าค่ายลูกเสือ แต่ตนคิดว่าหลานชายพูดเล่น
จึงไม่สนใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่า 1 ชั่วโมง
ได้โทรศัพท์กลับเข้ามือถือนายฉลาด แต่ไม่มีคนรับโทรศัพท์
จึงพากันมาดูตรงป้อมยามตามที่นายฉลาดบอก
และตกใจเมื่อพบศพนายฉลาดนอนเสียชีวิตกับนางสาวปนัดดา แล้ว
ก่อนจะโทรศัทพ์แจ้งตำรวจ

ด้าน นายสมจิตร เกรยรัมย์ บิดา นายฉลาด ผู้ตาย กล่าวว่า
ลูกชายไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ นานๆ จะกลับมาบ้านสักครั้ง
และครั้งนี้เพิ่งกลับมาบ้านได้ 3 วัน โดยลูกชายได้คบหากับ น.ส.ปนัดดา
เมื่อเดือน มกราคม 2552 ที่ผ่านมา น.ส.ปนัดดา ได้ไปมาหาสู่กับลูกชายประจำ
จนเป็นที่รับรู้ของคนในหมู่บ้าน แต่ น.ส.ปนัดดา
มีสามีแล้วเป็นเพื่อนกับลูกชายตนด้วย และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

"ตั้งแต่เช้าไม่เจอลูกชาย เพราะออกไปทุ่งนา
จนกระทั่งบ่ายหลานไปบอกว่า ลูกชาย ถูกยิงเสียชีวิต
ไม่คิดว่าลูกชายจะแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีนี้
น่าจะมาปรึกษาพ่อแม่หาทางแก้ออกของปัญหาร่วมกันจะดีกว่า"นายสมจิตร กล่าว

ชาวบ้านรายหนึ่ง เล่ากับผู้สื่อข่าว ว่า น.ส.ปนัดดา
มักจะถูกสามีใช้กำลังตบตีประจำ จนน.ส.ปนัดดาทนไม่ไหวบอกเลิก
แต่สามีของน.ส.ปนัดดา ก็ยังไปมาหาสู่กับน.ส.ปนัดดา เป็นปกติ มาระยะหลัง
น.ส.ปนัดดา ได้มาคบกับ นายฉลาด และพยายามจะเคลียร์ปัญหารักกับสมี
เพื่อมาคบกับนายฉลาด อย่างจริงจัง แต่ไม่สามารถเคลียร์ได้
คาดว่าสุดท้ายจึงใช้หนทางจบชีวิตทั้งสองคนเป็นทางออกแทน

ทั้งนี้ น.ส.ปนัดดา นั้น พ่อแม่ แยกทางกัน พ่อ อยู่ที่กรุงเทพฯ
แม่อยู่ที่ จ.สุรินทร์ ส่วน น.ส.ปนัดดา มาอยู่กับยาย ที่ บ.หนองปรือพัฒนา
ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และได้สามีที่บ้านสวายจีก
อยู่กินกันมากว่า 2 ปี ไม่มีบุตร
ก่อนจะมาคบหากับนายฉลาดและจบชีวิตลงทั้งสองดังกล่าว

พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์
กล่าวภายหลังร่วมตรวจสอบที่เหตุและสอบสวนญาติผู้ตายว่า
ผู้ตายทั้งสองได้พากันนั่งรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุเพื่อตกลงเคลียร์ปัญหา
รักสามเส้า ที่ยังเป็นปมปัญหาอยู่ เพราะ น.ส.ปนัดดา มีสามีอยู่แล้ว
แต่คาดว่าไม่สามารถเคลียร์ปัญหาได้

จากนั้นนายฉลาดได้โทรศัพท์บอกน้าสาวให้มารับศพด้วย
จึงได้ตัดสินใจใช้อาวุธปืนที่นำติดตัวมาด้วย จ่อยิงเข้าที่ขมับแฟนสาว
ก่อนใช้ปืนกระบอกเดียวกันลั่นไกปิดชีวิตตัวเองตายตามดังกล่าว
ส่วนสาเหตุอื่นได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนได้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงการ
ตายของทั้งสองคนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

งมพบวัตถุโบราณพระเครื่องอื้อ - หลังมีคนขับเก๋งมาทิ้งสระน้ำคาดกลัวความผิ

บุรีรัมย์ - ชาวบ้าน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
พบชายลึกลับขับรถเก๋งนำสิ่งของมาทิ้งในสระน้ำกลางดึกนึกว่าเป็นศพ
แจ้งตำรวจนำนักประดาน้ำหน่วยกู้ภัยลงงมพบเป็นวัตถุโบราณ พระเครื่อง
พระพุทธรูป เหรียญ เครื่องรางจำนวนมาก คาดคงขโมยมากลัวผิดหรือถูกหลอน
ด้านตำรวจตามล่าตัวมาสอบ ประชาชนแห่ขอโชค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เย็นวานนี้(24 มิ.ย.)พ.ต.อ.เอกชัย
ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผกก.สภ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจาก นายเฉลิมพล
นิรันดร์ปกรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านกรวด ว่า ได้มีชาวบ้านมาแจ้งว่า
เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. มีคนขับรถยนต์เก๋งไม่ทราบสี ยี่ห้อ
และหมายเลขทะเบียน มาจอดข้างสระน้ำ ในชุมชนกำนันเร็ม ม.3 ต.ปราสาท
อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
จากนั้นได้ยินเสียงเหมือนมีการโยนสิ่งของลงไปในสระน้ำ
ก่อนขับรถยนต์หลบหนีไป ชาวบ้านเกรงว่าจะเป็นการนำศพ
หรือสิ่งผิดกฎหมายมาทิ้ง จึงมาแจ้งตำรวจเพราะสระน้ำดังกล่าวลึกมาก
อยากให้ไปตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงส่งกำลังไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พร้อมประสานไปยังหน่วยกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์ และชุดประดาน้ำ
มาช่วยงมค้นหาสิ่งต้องสงสัยดังกล่าว โดยมีประชาชนมามุงดูจำนวนมาก

หลังจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ใช้เวลางม นานกว่า 3 ชั่วโมง
จึงพบว่าสิ่งที่สงสัยนั้น เป็นวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง ได้แก่ พระพิฆเนศ
หน้าตักประมาณ 3 นิ้ว จำนวน 2 องค์ , พระพุทธรูปหน้าตรง หน้าตักประมาณ 5
นิ้ว จำนวน 1 องค์ , พระพุทธรูป ประจำวันเสาร์ จำนวน 1 องค์
แจกันทองเหลืองโบราณ หลายชิ้น พร้อมกระถางธูปทองเหลือง
และพบเหรียญหลวงพ่อชื่อดัง จำนวนมาก ซึ่งเป็นรุ่นเก่ามีราคา
และพบมีดตัดลูกนิมิตของวัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด
ที่ลงอักขระไว้ด้วยโดยทั้งหมดถึงบรรจุไว้ในถุงพลาสติก

จากการสอบถาม นายบุญเกิด หนูประโคน อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่
12/6 ชุมชนกำนันเร็ม ซึ่งบ้านอยู่ใกล้สระน้ำ เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ
03.00 น. ได้ยินเสียงรถยนต์เก๋งไม่ทราบสี ยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียน
ขับมาจอดซึ่งมืดมาก จากนั้นมีชายคนหนึ่งลงมาจากรถ
พร้อมกับยกถุงออกมาโยนลงสระน้ำ ก่อนจะขึ้นรถขับหลบหนีไปอย่างเร่งรีบ

รุ่งเช้าตนจึงรีบแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
และนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกรวด เกรงว่าถุงที่โยนลงน้ำจะเป็นศพ
หรือสิ่งผิดกฎหมาย เพราะสระน้ำแห่งนี้ เป็นสระน้ำที่ประชาชนใช้อุปโภค
บริโภค แต่หลังจากงมพบกลายเป็นพระเครื่อง ของโบราณ เครื่องราง
ก็รู้สึกโล่งใจ

ทางด้านตำรวจสันนิษฐานว่า คนที่นำมาทิ้งอาจไปขโมยมาจากวัด
เกรงความผิดหรือถูกหลอน หรืออาจทำไสยศาสตร์
เพื่อวัตถุประสงค์ใดไม่ทราบจึงนำมาทิ้ง โดยขณะนี้วัตถุโบราณ หรือ
พระทั้งหมดได้นำไปเก็บไว้ที่วัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
ซึ่งมีหลวงปู่ผาด หรือพระวิบูลย์ ปัญญารัตน์ พระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน
เป็นเจ้าอาวาส เพื่อเก็บรักษาไว้ก่อน
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนติดตามคนนำมาทิ้ง
เพื่อสอบข้อเท็จจริงต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังข่าวการงมพบวัตถุโบราณ
พระพิฆเนศ พระพุทธรูป แจกันทองเหลืองโบราณ กระถางธูปทองเหลือง
และเหรียญหลวงพ่อชื่อดัง จำนวนมาก แพร่สะพัดออกไป
ได้มีประชาชนหลั่งไหลมากราบไหว้และขอโชคลาภกันเป็นจำนวนมาก


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071598

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กาชาดบุรีรัมย์พร้อม "สพท." เยี่ยมบ้านช่วยเหลือนักเรียนยากไร้

บุรีรัมย์ - นายกเหล่ากาชาดบุรีรัมย์ พร้อมสพท. เขต 1
และจนท.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ออกเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนที่ยากไร้ขาดแคลน
พร้อมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัว

วันนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. นางพยอม สุระสัจจะ
นายกเหล่ากาชาดจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายธีรวุฒิ เจริญรัมย์
รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) บุรีรัมย์ เขต 1
และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ได้ออกเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนที่ยากไร้ขาดแคลน
ตามโครงการสัปดาห์เยี่ยมบ้านนักเรียน
ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่บ้านโคกตาสิงห์ และ
บ.สวายจีก ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

พร้อมทั้งได้นำเครื่องอุปโภคบริโภค
สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และเงินจำนวนหนึ่ง
ไปมอบให้กับครอบครัวของเด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจนดังกล่าวด้วย
เพื่อเป็นการเทาความเดือดร้อน
และช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว
โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังประสบปัญหาภาวะวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนี้

นางพยอม สุระสัจจะ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
การออกเยี่ยมครอบครัวเด็กนักเรียนในครั้งนี้
เป็นการบูรณาการให้ความช่วยเหลือครอบครัวนักเรียนที่มีฐานะยากจน
ซึ่งจากการออกเยี่ยม
พบว่าเด็กบางคนไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่จะอาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง
เนื่องจากพ่อแม่ไปทำงานยังต่างจังหวัด
จึงเกรงว่าเด็กกลุ่มนี้จะกลายเป็นปัญหาของสังคม
จึงได้ให้มีการจัดเก็บข้อมูลไว้
เพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมต่อไป

ด้านนายธีรวุฒิ เจริญรัมย์
รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า
โครงการสัปดาห์เยี่ยมบ้านนักเรียน
เป็นนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่ให้ทุกโรงเรียนนำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
มาใช้ในการป้องกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักเรียน
ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษาของนักเรียน

"ดัง นั้น จึงได้จัดสัปดาห์เยี่ยมบ้านนักเรียนขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
โดยให้คณะครูออกเยี่ยมบ้านนักเรียนเพื่อทำความรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
ให้รับทราบถึงสภาพครอบครัวของนักเรียนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
หากพบว่ามีปัญหาเพื่อจะได้หาแนวทางช่วยเหลือแก้ไขได้อย่างทันท่วงที"
นายธีรวุฒิ กล่าว

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์ตื่นเร่งเชือด "อบต.โคตรโกง" เผยร้องกว่า 120 เรื่องดำเนินคดีเพียง 4 แห่ง

บุรีรัมย์ - จังหวัดบุรีรัมย์เร่งสางทุจริตใน อปท.โดยเฉพาะ "อบต."
ล่าสุดมีเรื่องร้องเรียนมากกว่า 120 เรื่อง ระบุดำเนินคดีไปแล้วเพียง 4
แห่ง เหตุเบิกจ่ายงบฯเป็นเท็จแห่งละ 4- 15 ล้าน และ ส่งเรื่องให้ป.ป.ช.
อีกกว่า 20 เรื่อง เผย "อ.เมือง-พุทไธสง-นางรอง-ประโคนชัย"
ถูกร้องโกงมากสุด ขู่เชือดขรก.ผู้เกี่ยวข้องทุจริตทั้งทางตรง-อ้อม
ไม่มีเว้น

นายเสริม ไชณรงค์ รองผู้ว่าราราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
จังหวัดบุรีรัมย์ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตกรณีการดำเนินงาน
ขององค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ค่อนข้างมาก
จึงได้เร่งรัดดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนการทุจริตของ อบต.ทั้งจังหวัดจำนวน121 เรื่อง
จากจำนวนเรื่องร้องเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของ
จ.บุรีรัมย์ทั้งหมด 131 เรื่อง ในจำนวนนี้มีเทศบาล และ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)เพียงแห่งละ 5
เรื่องเท่านั้นที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสอบสวน

ทั้งนี้เรื่องร้องเรียนทุจริตส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการจัดซื้อจัด
จ้าง และความไม่โปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินการโดยเฉพาะการดำเนินการโครงการก่อนมี
สัญญาจ้าง ที่เหลือเป็นเรื่องของการประกวดราคาก่อสร้างต่ำกว่าราคากลาง
หรือ การเสนอราคาที่สูงกว่าราคากลาง
ซึ่งประชาชนผู้ร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวระบุว่า
มีการร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและบริษัทผู้รับเหมา

"ล่า สุดได้ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่การเงินและผู้เกี่ยวข้องของ
อบต.รวม 4 แห่ง ที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นเท็จ เป็นเงินแห่งละ 4 - 15
ล้านบาท และให้นายอำเภอเข้ากำกับดูแลการดำเนินงานของ
อบต.ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นด้วย" นายเสริม กล่าว

นายเสริม กล่าวต่อว่า
อำเภอที่ประชาชนร้องเรียนมากที่สุดอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอเมืองบุรีรัมย์,
พุทไธสง , นางรอง และ อ.ประโคนชัย ซึ่งทางจังหวัดฯ ได้สรุปเรื่องส่งให้
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
พิจารณาดำเนินการกว่า 20 เรื่อง
ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง

สำหรับสาเหตุที่มีเรื่องร้องเรียนค้างจำนวนมาก นั้น
เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาสอบสวนทั้งทางแพ่ง และ ทางวินัย
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

นายเสริม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้การดำเนินการของ อบต.ในหลายเรื่อง
มีการท้วงติงจากผู้ตรวจการแผ่นดิน และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)
ถึงความไม่โปร่งใส ซึ่งการสอบสวนกรณีการทุจริตของ
อปท.ทุกเรื่องหากพบว่ามีข้าราชการคนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าทางตรง
หรือทางอ้อม จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
ทั้งทางวินัยและอาญาไม่มีการละเว้น

"อย่าง ไรก็ตามที่ผ่านมา
ทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้ประชุมชี้แจงและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติแก่ นายก อบต.
มาอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งได้ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลและเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานด้าน
การเงินเข้ารับการอบรมด้วย
เพื่อมอบแนวทางปฏิบัติและเป็นการป้องกันการทุจริต" นายเสริม กล่าว
ในตอนท้าย

บุรีรัมย์ร่วมทหารปลูกป่าคืนความสมดุลธรรมชาติ-เฉลิมพระเกียรติในหลวง

บุรีรัมย์ - อบต.ผไทรินทร์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ร่วมจังหวัดทหารบก
และกองพันทหารปืนใหม่ที่ 23 นครราชสีมา นำชาวบ้านนักเรียนกว่า 1,000 คน
ปลูกต้นไม้ทดแทนพื้นที่ป่ากว่า 5,000 ต้นคืนความสมดุลสู่ธรรมชาติ
และลดภาวะโลกร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันนี้ (19 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การบริหารส่วนตำบล
(อบต.) ผไทรินทร์ ร่วมกับจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ และกองพันทหารปืนใหญ่ที่
23 จ.นครราชสีมา นำคณะเจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน และนักเรียน กว่า 1,000 คน
ปลูกต้นไม้ เช่น ต้นยางนา มะค่าโมง ประดู่ และต้นฝ้ายคำ
ในพื้นที่ป่าสาธารณะ บ.โคกงิ้ว ต.ผไทรินทร์ อ.ลำปลายมาศ กว่า 5,000 ต้น
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554

รวมทั้งเป็นการคืนความสมดุลสู่ธรรมชาติ
ลดภาวะโลกร้อนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล และทดแทนพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรม
หลังถูกชาวบ้านเข้าไปบุกรุกแผ้วถาง พร้อมกันนี้ ยังได้มอบพันธุ์กล้าไม้
ให้กับตัวแทนชาวบ้านนำไปปลูกตามหมู่บ้านและชุมชนด้วย

นายสมพงษ์ ตาชูชาติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลผไทรินทร์
เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านและเยาวชนให้รักษ์หวงแหน
พื้นที่ป่า ไม่บุกรุกแผ้วถางตัดไม้ทำลายป่า
ซึ่งเดิมพื้นที่ป่าดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่กว่า 37 ไร่
ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน 5 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่ 3 ,11, 16 ,18
และหมู่ที่ 19 แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าดังกล่าวเหลือเพียงประมาณ 20
ไร่เท่านั้น เนื่องจากได้ถูกชาวบ้านเข้าไปบุกรุกแผ้วถาง ตัดไม้
และจับจองเป็นที่ทำกิน ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านได้เล็งเห็นความสำคัญของป่า
และหันมาอนุรักษ์ร่วมกัน

ด้าน พ.อ.เสริมศักดิ์ นิยะโมสถ
รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ ได้กล่าวหลังเป็นประธานปลูกต้นไม้
ว่า หน่วย ทหารได้ร่วมกับประชาชนในชุมชน และหน่วยงานต่างๆ
ในการปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ที่เสื่อมโทรม
ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาตลอดทุกปีอยู่แล้ว
และจะดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั้ง 23 อำเภอ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000069573

สองสามีชาวบุรีรัมย์ร้องสภาทนายความถูกเต็นท์รถตุ๋น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2552 15:02 น.
บุรีรัมย์ - สองสามีภรรยาชาวบุรีรัมย์บุกร้องสภาทนายความ
ให้ช่วยเหลือฟ้องร้องเอาผิดเต็นท์รถมือสอง หลังถูกหลอกซื้อขายรถ
ด้านสภาหมอความยืนยันจะให้ความช่วยเหลือ
โดยทำหนังสือแจ้งให้เต้นท์รถหน้าเลือดออกมารับผิดชอบ
ไม่เช่นนั้นจะฟ้องร้องเอาผิดตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 มิ.ย.) นายถนอม จันทอง อายุ 60
และนางบุญเลี้ยง จันทอง อายุ 58 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 10
บ้านกะลันทา ต.กระสัง อ.เมือง เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับนายพลกฤต
เนาว์ประโคน ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์
หลังได้นำรถยนต์ไปซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เต้นท์รถมือสอง "สมบูรณ์ยนตรการ"
ที่ อ.สตึก ซึ่งทางเต๊นท์รถดังกล่าวได้ตีราคารถคันดังกล่าวให้ 120,000
บาท พร้อมหักค่างวดที่ยังคงติดค้างไฟแนนซ์ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
เหลือเงิน 81,000 บาท

จากนั้นทางเต็นท์ได้ให้นำรถยนต์มือสองภายในเต็นท์ที่มีสภาพใหม่กว่า
คันเดิม ที่นายถนอมเลือกที่จะเช่าซื้อ ไปทดลองใช้เป็นเวลา 3 เดือน
หากไม่ถูกใจให้นำกลับมาคืน โดยทางเต๊นท์ให้นายถนอม เซ็นต์สัญญาบางอย่าง
จากนั้นได้นำรถไปทดลองขับเพียงวันเดียวเปลี่ยนใจได้นำรถกลับมาคืนให้กับทาง
ร้าน และขอเปลี่ยนรถคันเดิมคืน เพราะเกรงจะส่งค่างวดไม่ไหว
เนื่องจากมีราคาแพง

แต่ทางเต็นท์ปฏิเสธไม่ยอมให้เปลี่ยนรถคันเก่าคืน
อ้างว่าได้ขายรถคันดังกล่าวไปแล้ว ทางร้านไม่ยอมชดใช้ใดๆ
จนรู้ตัวว่าถูกหลอก
จึงได้เข้าร้องเรียนต่อสภาทนายความให้ช่วยเหลือฟ้องร้องเอาผิดกับเต็นท์รถ
ดังกล่าว

ด้าน นายพลกฤต เนาว์ประโคน ประธานสภาทนายความ กล่าวว่า
หลังรับเรื่องทางสภาทนายความ จะได้ทำหนังสือแจ้งให้เต็นท์รถมือสอง
คืนรถให้กับนายถนอม หากไม่สามารถนำรถมาคืนให้ได้
ก็ให้ชดใช้เป็นเงินตามสภาพของรถ

แต่เต็นท์ "สมบูรณ์ยนตรการ"
ไม่ยอมคืนรถหรือชดใช้เงินให้กับนายถนอม
ทางสภาทนายความก็จะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จนท.ป่าไม้-ตัวแทนชาวบ้านเข้ารังวัดที่ป่าสงวนดงใหญ่แล้ว หลังถูกบุกรุกอื้อ

บุรีรัมย์ - เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พร้อมตัวแทนชาวบ้านกว่า 300 คน
เข้าจับจีพีเอสทำรังวัดพื้นที่ป่าสงวนดงใหญ่ ที่บริษัทเอกชนหมดสัญญาเช่า
ตามมติที่ประชุมร่วมทั้งภาครัฐและภาคประชาชน
หลังชาวบ้านประท้วงเข้าบุกยึดแผ้วถางป่าเพื่อเข้าไปทำกิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เจ้าหน้าที่ช่างรังวัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 นครราชสีมา
เจ้าหน้าที่ช่างรังวัดสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ 8 นครราชสีมา
เจ้าหน้าที่ช่างรังวัดจาก อบต.ลำนางรอง
และเจ้าพนักงานจากศูนย์ประสานงานป่าไม้ จ.บุรีรัมย์ พร้อมตัวแทนชาวบ้าน
และชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินอีก 4 กลุ่มกว่า 300 คน
ได้ร่วมกันเข้าจับจีพีเอสทำรังวัดสอบเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่
ต.ลำนางรอง ที่บริษัทเอกชนได้หมดสัญญาเช่า

ทั้งนี้ เพื่อเทียบเคียงว่ามีพื้นที่ตรงกับฐานข้อมูลเดิมหรือไม่
ให้หายความคลางแคลงของทุกฝ่าย
หลังจากก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้ประท้วงเข้ายึดแผ้วถางป่าเพื่อจะจัดสรรทำกิน
กันเอง ซึ่งเบื้องต้นจะรังวัดเพียง 1 แปลงที่บริเวณ บ.คลองหิน
หากข้อมูลตรงกันแปลงที่เหลือก็จะไม่ทำการรังวัดใหม่
จะยึดฐานข้อมูลเดิมเป็นหลัก

จากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอ และจังหวัด
เพื่อส่งเสนอกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ขอความเห็นชอบให้ประชาชนเช่าทำกินตามข้อเรียกร้องดังกล่าวต่อไป
ส่วนจะอนุมัติให้เช่าหรือไม่ให้เช่านั้น
ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงฯเท่านั้น

นายวิชัยรัตน์ อินทนุพัฒน์ เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน
ศูนย์ประสานงานป่าไม้บุรีรัมย์ กล่าวว่า
การลงพื้นที่มาทำรังวัดในครั้งนี้
เพื่อส่งข้อมูลให้ทางคณะกรรมการระดับอำเภอ
ส่วนจะได้รับการอนุมัติให้เช่าหรือไม่ให้เช่านั้นไม่สามารถทราบได้
เพราะไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจได้

ด้าน นายสุพล หมื่นศรีพรหม กรรมการผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยภาคอีสาน
กล่าวว่า การทำรังวัดครั้งนี้ถึงแม้จะยังไม่ทราบว่าจะมีการอนุมัติให้ประชาชนเช่าทำ
กินหรือไม่ แต่ก็ทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกิน มีกำลังใจได้ในระดับหนึ่ง
ถึงแม้การพิจารณาจะเป็นอย่างไรก็ชาวบ้านก็ยังยืนยัน
จะเข้าไปทำกินในพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000067729

บุรีรัมย์พบผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้ว 89 ราย เสียชีวิต 1 ราย

บุรีรัมย์ - สถานการณ์ไข้เลือดออก จ.บุรีรัมย์
ยังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องมีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษาแล้ว 89 ราย
และชีวิตเป็นเด็กเสีย 1 ราย ขณะที่ สสจ.กำชับอนามัยตำบล
อสม.ร่วมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ระดมให้ความรู้ประชาชนและกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย

วันนี้ (14 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า
หลังจากมีฝนตกอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ที่ จ.บุรีรัมย์
ส่งผลให้เอื้อต่อการเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย
ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อโรคไข้เลือดออกมาแพร่ระบาดสู่คน ล่าสุดที่
จ.บุรีรัมย์ พบผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว 89 ราย
เสียชีวิต 1 ราย เป็นเด็กอายุ 6 ขวบ
รวมทั้งแนวโน้มสถานการณ์การระบาดจะรุนแรงต่อเนื่อง
เพราะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกมีน้ำขังในหลายพื้นที่

นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์
กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวได้สั่งการให้สาธารณสุขอำเภอ
สถานีอนามัยประจำตำบล อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ที่มีอยู่ทุกหมู่บ้านทั้งจังหวัดกว่า 30,000 คน
ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกัน
อย่างถูกวิธี พร้อมทั้งร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย
โดยการฉีดพ่นหมอกควัน หยอดทรายอะเบท
คว่ำภาชนะที่มีน้ำขังตามบ้านเรือนของราษฎร
เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคไข้เลือดออกด้วย

"ใน ช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออกเป็นประจำทุกปี
โดยเฉพาะช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ทั้งนี้
หากพบว่าคนในครอบครัวมีอาการไข้สูงผิดปกติ
ให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาโดยเร็ว
หากล่าช้าอาจมีอาการป่วยรุนแรงถึงขั้นช็อกเสียชีวิตได้" นพ.สมพงษ์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์รณรงค์ล้างมือ ล้างใจ แทนคุณเทิดไท้ ในวันไหว้ครู

from MOPH-ข่าวภูมิภาค by งานประชาสัมพันธ์ สสจ.บุรีรัมย์
นาย แพทย์สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์
กล่าวในงานรณรงค์ล้างมือ ล้างใจ แทนคุณเทิดไท้ ในวันไหว้ครู ณ
โรงเรียนบ้านถนน ต.หัวถนน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
ว่ากระทรวงสาธารณสุขจึงมีมาตรการสำคัญในการควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์
ใหม่ 2009 ในประเทศ
โดยการค้นหาผู้ป่วยอย่างรวดเร็วและจำกัดไม่ให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง
โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือกลุ่มนักเรียนที่อยู่รวมกันทั้งวันที่
โรงเรียน หากมีผู้ป่วยในโรงเรียน
อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์จึงร่วมมือกับเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 4
เขตในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 929 แห่ง
ถือโอกาสวันครูในปีนี้ จัดรณรงค์ให้เด็กนักเรียนล้างมืออย่างถูกวิธี
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในโรงเรียน
ซึ่งนอกจากการล้างมืออย่างถูกวิธีแล้วยังต้องปลูกฝังให้นักเรียนมีพฤติกรรม
สุขภาพที่ดี ได้แก่ การกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ การใช้ช้อนกลาง
และการใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูกเมื่อไอ จาม
หรือการใส่หน้ากากอนามัยเมื่อไม่สบายเป็นไข้หวัด หรือจำข้อปฏิบัติง่ายๆ
คือ "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ไอจามปิดปาก ใช้หน้ากากอนามัย
ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009"

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตร.บุรีรัมย์รวบ 8 คนแก๊งทองปลอมรายใหญ่-เดินสายตุ๋นมาทั่วประเทศ

บุรีรัมย์ - "พล.ต.ต.เดชาวัต" รอง ผบช.ภ.3 ร่วมแถลง ตร.บุรีรัมย์
รวบแก๊งทองปลอมรายใหญ่เดินสายนำทองปลอมหลอกจำนำกับร้านทองต่างๆ
มาทั่วประเทศ ได้ผู้ต้อง 8 คน พร้อมของกลางทองปลอม 29 เส้น หนัก 58 บาท
รถยนต์ 2 คัน มือถือ 9 เครื่อง
พบประวัติโชกโชนมีคดีติดตัวเพียบก่อเหตุมาหลายพื้นที่
เชื่อเป็นขบวนการใหญ่เตือนร้านทองให้ระวังเป็นพิเศษ

วันนี้ (12 มิ.ย.) พล. ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (รอง ผบช.ภ.3) พร้อมด้วย พ.ต.อ.รวีวรรธน์
เทียนสุวรรณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) บุรีรัมย์,
พ.ต.ท.รัฐพล ป้องกัน รอง ผกก.สภ.เมืองบุรีรัมย์
ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพออกตระเวนนำทองรูปพรรณปลอมมาหลอก
จำนำตามร้านทองต่างๆ ในเขตพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค 1, 2, 3 และ ภาค 4
ทำให้ร้านทองได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

พฤติการณ์ในช่วงที่ผ่านมาได้มีกลุ่มมิจฉาชีพนำทองรูปพรรณปลอมมาหลอก
จำนำกับร้านทองต่างๆในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ จำนวน 6 ร้าน เสียหายร่วม 3
แสนบาท รวมทั้งจังหวัดอื่นๆ ทำให้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก
พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์
จึงได้สั่งการให้กลุ่มงานสืบสวนฯ ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ สืบสวนจับกุม

จนกระทั่งทราบว่า กลุ่มผู้กระทำผิดมี นางขวัญเรือน หรือ แหม่ม และ
นางนงลักษณ์ หรือ ออด เป็นหัวหน้า มีหน้าที่จัดหา
และทำทองรูปพรรณปลอมนำมาให้คนในกลุ่ม
นำทองรูปพรรณปลอมไปหลอกจำนำตามร้านทองทั่วไป
ซึ่งมิจฉาชีพกลุ่มนี้เคยก่อเหตุในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์, นครราชสีมา,
ขอนแก่น, นครปฐม, ชลบุรี, ตลาดนวนคร จ.ปทุมธานี และจังหวัดอื่น
จึงได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว

กระทั่งเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายจตุรงค์
หรือ ขุน พัฒนจันทร์ 91/61 หมู่ 5 ต.บางรัก อ.เมือง จ.นนทบุรี
ผู้ต้องหาได้ ส่วนที่เหลือได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา จนทราบว่า
นางขวัญเรือน หรือ แหม่ม และ นางนงลักษณ์ หรือ ออด
ได้นัดคนในกลุ่มเพื่อไปประกอบเหตุในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ อีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานสืบสวน
จึงได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจอำพรางตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มและเฝ้าสะกดรอยติดตาม

ต่อมาเช้าวันที่ 11 มิ.ย.นางขวัญเรือน หรือ แหม่ม และ นางนงลักษณ์
หรือ ออด ได้นำคนในกลุ่ม ออกเดินทางจาก อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยใช้รถยนต์
2 คัน คือ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า 4 ประตู รุ่นพรีรันเนอร์ สีเทา
หมายเลขทะเบียน ฌต 1037 กทม.และรถยนต์เก๋งแท็กซี่ ยี่ห้อโตโยต้า สีชมพู
หมายเลขทะเบียน ทว 855 กทม.เดินทางมาเพื่อจะก่อเหตุ
โดยได้นัดวางแผนการณ์กันที่ร้านอาหารครัวบ้านสวน อ.วังน้อย
จ.พระนครศรีอยุธยา

จากนั้นได้เดินทางมาที่ จ.บุรีรัมย์
แล้วส่งคนในกลุ่มลงแยกย้ายนำทองปลอมไปจำนำตามร้านทองต่างๆ แต่พบเห็น
เจ้าหน้าที่ตำรวจเคลื่อนไหวอยู่ จึงไหวตัวจะหลบหนี

จนกระทั่งเมื่อเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน (11 มิ.ย.)
เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ฯ ร่วมกับ ตำรวจสภ.เมืองบุรีรัมย์
จับกุมผู้ต้องหาได้บริเวณรอบเมืองบุรีรัมย์ ถ.บุรีรัมย์-สตึก
ตรงข้ามร้านเนื้อย่างแก่นจันทร์ ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 8 คน

ประกอบด้วย 1.นางขวัญเรือน หรือ แหม่ม ทองเปี่ยม อายุ 32 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 488 หมู่ 18 ต.ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร
2.นางนงลักษณ์ หรือ ออด ศิริบูรณานนท์ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/1191
หมู่ 4 ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 3.นายเล็ก รอบรู้ อายุ 40 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 9/47 หมู่ 5 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.ลพบุรี

4.น.ส.เมษา เจริญ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 137 ต.ศรีสำราญ
อ.พรเจริญ จ.หนองคาย 5.นางจิราพร จั่นสำอางค์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่
4/1 หมู่ 2 ต.โพธิ์ประจักษ์ อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี 6.นายประสาน มิตรทอง
อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/133 หมู่ 4 ต.ท่าจีน อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
7.น.ส.พิศสมัย ยังดี อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 131 หมู่ 1 ต.วังงิ้วใต้
กิ่ง อ.คงเจริญ จ.พิจิตร และ 8.นายสมนึก ยอดเอื้อ อายุ 49 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 405 ซอยศรีสุข แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

พร้อมด้วยของกลาง คือ 1.สร้อยทองรูปพรรณ (ปลอม) เป็นสร้อยคอ จำนวน
17 เส้น และสร้อยข้อมือ 12 เส้น รวม 29 เส้น 2.รถยนต์โตโยต้า วีโก้
สีบรอนต์เทา หมายเลขทะเบียน ฌต 1037 กทม. จำนวน 1 คัน 3.รถยนต์แท็กซี่
ยี่ห้อ โตโยต้า สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทว 855 กทม.จำนวน 1 คัน
4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 9 เครื่อง

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีในข้อหา
สมคบกันตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป เพื่อฉ้อโกงทรัพย์ (ซ่องโจร) และฉ้อโกงทรัพย์

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ ต้องกลุ่มนี้
บางคนมีหมายจับของสถานีตำรวจท้องที่ต่างๆ ดังนี้ นางขวัญเรือน ทองเปี่ยม
มีหมายจับของ สภ.เมืองบุรีรัมย์, นางนงลักษณ์ หรือ ออด ศิริบูรณานนท์
สภ.เมืองบุรีรัมย์, นายเล็ก รอบรู้ สภ.เมืองบุรีรัมย์, น.ส.เมษา เจริญ
สภ.เมืองบุรีรัมย์, สภ.บางบัวทอง (ศาลแขวงนนทบุรี) และนางจิราพร
จั่นสำอางค์ สภ.ปลายบาง อ.บางกรวย (ศาลแขวงนนทบุรี)

พล. ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ รอง ผบช.ภ.3 กล่าวว่า
ภายหลังรับมอบช่อดอกไม้จากผู้ประกอบการร้านทองในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มาขอบ
คุณตำรวจในครั้งนี้ว่า
ได้รับการร้องเรียนหลายจังหวัดให้ติดตามแก๊งดังกล่าว
จนตำรวจบุรีรัมย์มาจับกุมได้ทั้งผู้ต้องหาและของกลาง จึงขอชมเชยตำรวจ
จ.บุรีรัมย์ ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
ส่วนผู้ที่หลบหนีและผู้ร่วมขบวนการจะเร่งขยายผลจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
ซึ่งคาดว่าทำกันเป็นขบวนการใหญ่

"อย่างไร ก็ตาม
ขอแจ้งเตือนร้านทองได้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มดังกล่าว
เชื่อว่ายังมีอยู่
ซึ่งตำรวจจะได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยกับร้านทองให้มากขึ้น"
พล.ต.ต.เดชาวัต กล่าว

ติวเข้ม 200 อปท.บุรีรัมย์จัดทำทะเบียนแหล่งน้ำแก้แล้งซ้ำซาก

บุรีรัมย์ - ทรัพยากรน้ำภาค 5 เร่งให้ความรู้ช่างโยธา อปท.บุรีรัมย์ กว่า
200 แห่ง จัดทำทะเบียนแหล่งน้ำขนาดเล็กเป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหา
น้ำในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง
หลังพบที่ผ่านมามีปัญหาข้อมูลไม่มีความเชื่อมโยงเป็นมาตรฐานเดียวกันและเกิด
ความซ้ำซ้อนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

วันนี้ (10 มิ.ย.) สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 กรมทรัพยากรน้ำ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดอบรมให้ความรู้ช่างโยธา
หรือ นายช่างโยธา ประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กว่า 200
แห่งในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการสำรวจจัดเก็บข้อมูล และบันทึกข้อมูล
การจัดทำทะเบียนแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง
หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัด รวบรวมส่งให้ทางจังหวัด
และคณะกรรมการลุ่มน้ำ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดทำระบบแผนที่ภูมิศาสตร์
นำมาวิเคราะห์สภาพปัญหา และวางแผนกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา
ให้ตรงตามความต้องการของแต่ละพื้นที่

หลังจากที่ผ่านมาพบว่าการจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานทรัพยากรน้ำ
ยังมีปัญหาข้อมูลที่ได้ไม่มีความเชื่อมโยงเป็นมาตรฐานเดียวกัน
อีกทั้งเกิดความซ้ำซ้อนจึงไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เท่าที่ควร จึงได้เร่งให้ความรู้ช่างโยธาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ให้ครบทั้ง 7 จังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

นายธีระพร วีระสนธิ ผู้อำนวยการส่วนวิชาการ
สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 ระบุว่า
การจัดอบรมให้ความรู้นายช่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการจัดทะเบียนแหล่งน้ำ
ก็เพื่อให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำจะได้รับทราบข้อมูล
และสภาพปัญหาที่ถูกต้อง เพื่อกำหนดแผนในการแก้ไขปรับปรุงในอนาคต

สำหรับในพื้นที่ภาคอีสานส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภัยแล้ง
น้ำอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรไม่พอเพียง
เนื่องจากปัจจุบันมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น
จึงจำเป็นจะต้องพัฒนาปรับปรุงแหล่งน้ำในพื้นที่
ให้สามารถรองรับน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่

บุรีรัมย์ทุ่มอีก 58 ล้านพัฒนาคูเมืองโบราณ - จ้องผลาญเพิ่ม 200 ล.ดันเป็นแหล่งท่องเที่ยว

บุรีรัมย์ - เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เร่งพัฒนา "คลองละลม"
คูเมืองโบราณอายุกว่า 18,00 ปี ให้ครบทั้ง 6 คู หลังทุ่มงบฯ 80
ล้านปรับปรุงภูมิทัศน์คลองละลมลูกที่ 1,6
เป็นแหล่งท่องเที่ยวสถานที่พักผ่อนสวนสุขภาพของจังหวัดฯ เผยทุ่มอีกกว่า
58 ล้านเดินหน้าพัฒนาต่อคูที่ 2 และ 3 ส่วนที่เหลือคูที่ 4 และ 5
เตรียมของบฯเพิ่มร่วม 200 ล้าน
เพื่อยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงเส้นทางอารยธรรมขอมโบราณ

นางปาลีรัตน์ สมานประธาน นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
คลองละลม หรือคูเมืองโบราณบุรีรัมย์มีประวัติความเป็นมายาวนานในการจัดตั้งเมือง
บุรีรัมย์โดยมีการขุดคูเมืองหรือกำแพงเมือง(คลองละลม)ล้อมรอบลักษณะเป็น
รูปวงรี ปัจจุบันตั้งอยู่กลางเมืองบุรีรัมย์ มีความกว้างเฉลี่ย 80 เมตร
ยาวประมาณ 5,000 เมตร พื้นที่รวม 179 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา
สภาพปัจจุบันแบ่งเป็น 6 ส่วน หรือ 6 คู ตามแนวถนนที่ตัดเข้าเมืองชั้นใน
แต่บางส่วนได้ถูกทับถมสำหรับก่อ สร้างอาคารพาณิชย์ บ้านเรือนราษฎร
และถนนไปแล้ว

ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้สำรวจและประกาศให้เขตคูเมือง-กำแพงเมืองบุรีรัมย์(คลองละลม)
ซึ่งอยู่ในสมัยทวารวดี มีอายุประมาณ 1,800 ปี เป็นโบราณสถาน
ทางเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญของโบราณสถานดังกล่าว
ประกอบกับเป็นความต้องการของประชาชนให้มีการปรับปรุงคูเมืองโบราณ
เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพัฒนาภูมิทัศน์เมือง
จึงได้ทำโครงการปรับปรุงคูเมืองโบราณ(คลองละลม)
โดยขออนุญาตและประสานขอความร่วมมือจากกรมศิลปากรในการสำรวจและออกแบบและขอ
รับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการต่างๆ

จนกระทั่งปี 2547
ได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวจากรัฐบาล จำนวน 42 ล้านบาท
ดำเนินการปรับปรุงคูเมืองโบราณ(คลองละลม)คูที่ 1 และต่อมาในปี 2549
ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์
จำนวน 30.4 ล้านบาท และเทศบาลจัดสรรงบสมทบอีก 7.6 ล้านบาท
ดำเนินการปรับปรุงคลองละลมคูที่ 6
เมื่อปรับปรุงแล้วเสร็จได้เกิดประโยชน์ทั้งทางด้านการพัฒนาทางกายภาพและด้าน
สังคมอย่างกว้างขวาง

ดัง นั้น เพื่อให้คูเมืองโบราณ (คลองละลม)
ในคูที่เหลือได้รับการปรับปรุง อนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู
และดูแลรักษาอย่างครอบคลุมครบทุกส่วนของเขตโบราณสถานที่ได้รับการขึ้น
ทะเบียนไว้ เทศบาลเมืองบุรีรัมย์จึงได้เสนอ "โครงการปรับปรุงคูเมืองโบราณ
(คลองละลม)" คูที่ 2 และ 3
เพื่อการท่องเที่ยวและพัฒนาภูมิทัศน์เมืองบุรีรัมย์
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ

โดยเทศบาลฯได้เสนอของบประมาณจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
โครงการพัฒนาตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ
2552 จำนวน 52,452,000 ล้านบาท และ เทศบาลจัดสรรงบสมทบอีก 5,828,000
ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 58,280,000 บาท
มาดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงคูเมืองโบราณลูกที่ 2 และ 3

ส่วนคูที่ 4 และ 5 คาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวนมากร่วม 200 ล้านบาท
ซึ่งคงต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการต่อไป

นางปาลีรัตน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังรอการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
จากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมาดำเนินการก่อสร้าง
พัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ คูเมืองโบราณ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาล และของจังหวัดดังกล่าว

" คูเมืองโบราณที่ก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์แล้วเสร็จทั้ง 2
คูนั้น จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรมขอมโบราณ
ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์หลายแห่ง เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ
เพื่อดึงดูดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชมและศึกษาประวัติความ
เป็นมาและสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นต่อไป" นางปาลีรัตน์ กล่าว

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000065025

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชาวบุรีรัมย์ยอมยุติบุกเผายึด "ป่าดงใหญ่" 3 วัน - จนท.เตรียมแจ้งจับหวั่นกระทบมรดกโลก

บุรีรัมย์ - ชาวบ้านบุรีรัมย์ยอมสลายยุติการบุกยึดแผ้วถางเผาทำลายป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่
แล้ว หลังนายอำเภอโนนดินแดงเข้าเจรจา ขณะแกนนำยันหากภายใน 3
วันไม่มีความคืบหน้าเป็นที่พอใจรวมตัวบุกยึดพื้นที่ป่าอีกรอบ ด้าน
ผอ.บริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 ระบุชาวบ้านทำผิดกฎหมาย
จนท.กรมป่าไม้จำต้องแจ้งความดำเนินคดีแน่นอน
วอนชาวบ้านเห็นแก่ส่วนรวมหวั่นกระทบพื้นที่มรดกโลก

วันนี้ (10 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี
กลุ่มชาวบ้านที่อ้างไม่มีที่ทำกินจากหลายอำเภอใน จ.บุรีรัมย์ ร่วม 2,000
คน ที่เข้าบุกยึดแผ้วถางและเผาป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่
แปลงที่เอกชนหมดสัญญาเช่า 23,700 ไร่ บริเวณ บ.คลองหิน ต.ลำนางรอง
เพื่อจะจัดสรรเป็นที่ดินทำกินกันเองนั้น
ได้ยอมสลายและยุติการบุกยึดป่าแล้ว หลังจาก นายสนั่น มิรินทราวาศ
นายอำเภอโนนดินแดง
ได้ลงพื้นที่เข้าเจรจากับชาวบ้านที่กำลังบุกรุกแผ้วถางป่า
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (9 มิ.ย.)

โดยขอให้ชาวบ้านจัดแกนนำมารวมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกับ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยุติการแผ้วถางป่าไว้ก่อน
ซึ่งในที่สุดชาวบ้านก็ยินยอมยุติการแผ้วถางป่าไว้ชั่วคราว
โดยยื่นข้อเสนอจะรอผลการเจรจาภายใน 3 วัน
โดยชาวบ้านได้แผ้วถางและเผาป่าต้นยูคาลิปตัสไปแล้วประมาณ 500 ไร่

ขณะที่ นายสมนึก ปัดชา เลขากลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
และแกนนำชาวบ้าน ยืนยันว่า หากครบ 3
วันการเจรจายังไม่มีผลสรุปชัดเจนและไม่เป็นที่พอใจของชาวบ้าน
ชาวบ้านก็ยืนยันจะกลับมาบุกยึดแผ้วถางป่าทั้ง 9 แปลง เนื้อที่กว่า 23,700
ไร่ อีกอย่างแน่นอน

ทางด้าน นายอุดมพร อาณัติวงศ์
ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 นครราชสีมา กล่าวว่า
การบุกรุกแผ้วถางป่าของชาวบ้านผิดกฎหมาย
ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเข้าแจ้งความ
โดยในเบื้องต้นนี้กรมป่าไม้มีนโยบายจะไม่อนุญาตให้เอกชนเช่าพื้นที่ต่อ
โดยเตรียมฟื้นฟูเป็นเขตป่าอนุรักษ์

ส่วนการที่ชาวบ้านเสนอขอเช่าทำกินก็ต้องรอการหารืออีกครั้ง
โดยหากมีการแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านจะส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวต้องยุติ
การพิจารณาจัดสรรให้เช่าชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

"นอก จากนี้ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่มรดกโลก
ดังนั้น การบุกรุกแผ้วถางป่าอาจส่งผลกระทบต่อการเป็นมรดกโลก
ซึ่งอยากให้ชาวบ้านเข้าใจและนึกถึงส่วนรวมเป็นหลักด้วย" นายอุดมพร กล่าว

บุรีรัมย์ทุ่มอีก 58 ล้านพัฒนาคูเมืองโบราณ - จ้องผลาญเพิ่ม 200 ล.ดันเป็นแหล่งท่องเที่ยว

บุรีรัมย์ - เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เร่งพัฒนา "คลองละลม"
คูเมืองโบราณอายุกว่า 18,00 ปี ให้ครบทั้ง 6 คู หลังทุ่มงบฯ 80
ล้านปรับปรุงภูมิทัศน์คลองละลมลูกที่ 1,6
เป็นแหล่งท่องเที่ยวสถานที่พักผ่อนสวนสุขภาพของจังหวัดฯ เผยทุ่มอีกกว่า
58 ล้านเดินหน้าพัฒนาต่อคูที่ 2 และ 3 ส่วนที่เหลือคูที่ 4 และ 5
เตรียมของบฯเพิ่มร่วม 200 ล้าน
เพื่อยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงเส้นทางอารยธรรมขอมโบราณ

นางปาลีรัตน์ สมานประธาน นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
คลองละลม หรือคูเมืองโบราณบุรีรัมย์มีประวัติความเป็นมายาวนานในการจัดตั้งเมือง
บุรีรัมย์โดยมีการขุดคูเมืองหรือกำแพงเมือง(คลองละลม)ล้อมรอบลักษณะเป็น
รูปวงรี ปัจจุบันตั้งอยู่กลางเมืองบุรีรัมย์ มีความกว้างเฉลี่ย 80 เมตร
ยาวประมาณ 5,000 เมตร พื้นที่รวม 179 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา
สภาพปัจจุบันแบ่งเป็น 6 ส่วน หรือ 6 คู ตามแนวถนนที่ตัดเข้าเมืองชั้นใน
แต่บางส่วนได้ถูกทับถมสำหรับก่อ สร้างอาคารพาณิชย์ บ้านเรือนราษฎร
และถนนไปแล้ว

ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้สำรวจและประกาศให้เขตคูเมือง-กำแพงเมืองบุรีรัมย์(คลองละลม)
ซึ่งอยู่ในสมัยทวารวดี มีอายุประมาณ 1,800 ปี เป็นโบราณสถาน
ทางเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญของโบราณสถานดังกล่าว
ประกอบกับเป็นความต้องการของประชาชนให้มีการปรับปรุงคูเมืองโบราณ
เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพัฒนาภูมิทัศน์เมือง
จึงได้ทำโครงการปรับปรุงคูเมืองโบราณ(คลองละลม)
โดยขออนุญาตและประสานขอความร่วมมือจากกรมศิลปากรในการสำรวจและออกแบบและขอ
รับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการต่างๆ

จนกระทั่งปี 2547
ได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวจากรัฐบาล จำนวน 42 ล้านบาท
ดำเนินการปรับปรุงคูเมืองโบราณ(คลองละลม)คูที่ 1 และต่อมาในปี 2549
ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์
จำนวน 30.4 ล้านบาท และเทศบาลจัดสรรงบสมทบอีก 7.6 ล้านบาท
ดำเนินการปรับปรุงคลองละลมคูที่ 6
เมื่อปรับปรุงแล้วเสร็จได้เกิดประโยชน์ทั้งทางด้านการพัฒนาทางกายภาพและด้าน
สังคมอย่างกว้างขวาง

ดัง นั้น เพื่อให้คูเมืองโบราณ (คลองละลม)
ในคูที่เหลือได้รับการปรับปรุง อนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู
และดูแลรักษาอย่างครอบคลุมครบทุกส่วนของเขตโบราณสถานที่ได้รับการขึ้น
ทะเบียนไว้ เทศบาลเมืองบุรีรัมย์จึงได้เสนอ "โครงการปรับปรุงคูเมืองโบราณ
(คลองละลม)" คูที่ 2 และ 3
เพื่อการท่องเที่ยวและพัฒนาภูมิทัศน์เมืองบุรีรัมย์
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ

โดยเทศบาลฯได้เสนอของบประมาณจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
โครงการพัฒนาตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ
2552 จำนวน 52,452,000 ล้านบาท และ เทศบาลจัดสรรงบสมทบอีก 5,828,000
ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 58,280,000 บาท
มาดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงคูเมืองโบราณลูกที่ 2 และ 3

ส่วนคูที่ 4 และ 5 คาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวนมากร่วม 200 ล้านบาท
ซึ่งคงต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการต่อไป

นางปาลีรัตน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังรอการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
จากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมาดำเนินการก่อสร้าง
พัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ คูเมืองโบราณ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาล และของจังหวัดดังกล่าว

" คูเมืองโบราณที่ก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์แล้วเสร็จทั้ง 2
คูนั้น จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรมขอมโบราณ
ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์หลายแห่ง เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ
เพื่อดึงดูดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชมและศึกษาประวัติความ
เป็นมาและสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นต่อไป" นางปาลีรัตน์ กล่าว

ชาวบุรีรัมย์บุกยึด "ป่าดงใหญ่" ส่อบานปลาย! - เผาทำลายป่าต่อเนื่อง/จนท.ตรึงกำลัง 300 ไร้ผล

บุรีรัมย์ - ชาวบ้านบุรีรัมย์หลายอำเภอร่วม 2,000 คน
บุกเข้าแผ้วถางเผาทำลายป่ายูคาฯ ยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่
ที่เอกชนหมดสัญญาเช่า 23,700 ไร่ ท่ามกลางการตรึงกำลัง
จนท.ป่าไม้และทหารกว่า 300 นาย ยันไม่ใช้ความรุนแรงสลายเน้นเจรจา
ด้านชาวบ้านลั่นไม่ยอมเจรจา จนท.ระดับจังหวัด ต้องการคุยนายกฯ หรือ
รมต.ผิดชอบเท่านั้น ล่าสุด ส่อเค้าบานปลาย หลัง
ผอ.สำนักอนุรักษ์ป่าไม้ที่ 7 เข้าเจรจาแต่ไม่เป็นผล
ชาวบ้านยังเดินหน้าแผ้วถางและเผาทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง


ช่วงสายวันนี้ (8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ชาวบ้านผู้ไม่มีที่ทำกินทั้ง 4 กลุ่ม กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กลุ่มอนุรักษ์ป่าดงใหญ่ 4
และกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน จากหลายอำเภอใน จ.บุรีรัมย์ ร่วม 2,000 คน
ได้รวมตัวกันนำมีดพร้า
และอุปกรณ์การเกษตรบุกเข้าแผ้วถางป่ายูคาลิปตัสในบริเวณเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ดงใหญ่ อ.โนนดินแดง จ. บุรีรัมย์ ที่เอกชนหมดสัญญาเช่า บริเวณบ้านคลองหิน
ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง แล้ว

ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้
และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จ.นครราชสีมา และ จ.บุรีรัมย์ พร้อมกำลังทหารจาก
ร.23 พัน 1 จ.นครราชสีมากว่า 300 นาย
หลังจากที่กลุ่มชาวบ้านได้ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ อนุสาวรีย์เราสู้
เพื่อบอกกล่าววีรชนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย(ผรท.) ที่เสียชีวิตในการต่อสู้
ในเขตพื้นที่ อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์

โดยชาวบ้านยืนยันจะแผ้วถางป่าทั้ง 9 แปลง เนื้อที่กว่า 23,700 ไร่
แล้วจะนำมาจัดสรรกันเอง
โดยไม่ยอมเจรจาหรือรับฟังข้อต่อรองกับเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดบุรีรัมย์
โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดได้ยื้อเวลา
และไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
แม้ว่าชาวบ้านจะยื่นหนังสือขออนุญาตตามขั้นตอน แต่จังหวัดกับเพิกเฉย
รวมทั้งยังปล่อยให้บริษัทเอกชนเข้าไปตัดไม้ยูคาลิปตัสในเขตป่าแปลงที่หมด
สัมปทานไปแล้ว สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน โดยชาวบ้านยื่นคำขาด ว่า
จะยอมเจรจากับนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น

นายสมนึก ปัดชา เลขานุการกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
และแกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า
ชาวบ้านผู้ไม่มีที่ทำกินจากทุกกลุ่มจะเข้าแผ้วถางป่ายูคาลิปตัสในเขตป่าสงวน
แห่งชาติดงใหญ่ทั้ง 9 แปลงที่หมดสัญญา
โดยจะไม่มีการเจรจากับทางจังหวัดแล้ว
เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านได้ดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว แต่ไม่เป็นผล
ซึ่งจากนี้ไปจะยอมเจรจากับนายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ใช้กำลังกับชาวบ้าน ก็จะมีการตอบโต้กลับเช่นกัน

นายปราโมทย์ การพนักงาน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
จ.นครราชสีมา กล่าวว่า
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จะไม่ใช้กำลังรุนแรงเข้าสลายกลุ่มชาวบ้านที่เข้า
บุกรุกยึดพื้นที่ป่า โดยจะเน้นการเจรจาอย่างสันติมากกว่า อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือบริษัทที่เข้าบุกรุกแผ้วถางป่าทุกผืนที่หมดสัญญา
ต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมายในบรรทัดฐานเดียวกัน
อีกทั้งในการดำเนินการตนไม่มีอำนาจที่จะอนุมัติจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนเช่า
ทำกิน ในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับระดับกระทรวง

ต่อมาเวลา 13.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เหตุการณ์ชาวบ้านรวมตัวกันบุกเข้ายึดแผ้วถางป่ายูคาลิปตัสในบริเวณเขตป่า
สงวนแห่งชาติดงใหญ่ ที่เอกชนหมดสัญญาเช่าบริเวณบ้านคลองหิน ต.ลำนางรอง
อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ เริ่มส่อเค้าบานปลาย หลังจากนายอุดมพร
อานัตติวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสำนักงานอนุรักษ์ป่าไม้ที่ 7 และ
นายสุรพันธุ์ จันทร์ประภา ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ป่าไม้ที่ 7
ขอเข้าเจรจา เพื่อให้ชาวบ้านยุติการแผ้วถางบุกรุกทำลายป่า
แต่ไม่เป็นผลยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน

โดยกลุ่มชาวบ้านกลับเดินหน้าใช้มีดพร้าบุกแผ้วถาง
และจุดไฟเผาป่ายูคาลิปตัส อย่างต่อเนื่อง
และยืนยันจะแผ้วถางพื้นที่ป่าที่หมดสัญญาเช่าทั้ง 9 แปลง
ก่อนนำมาจัดสรรกันเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้และกำลังทหารทั้ง 300 นาย
ยังคงตรึงกำลังในพื้นที่
แต่ไม่มีการกระทบกระทั่งหรือปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
จนก่อให้เกิดความรุนแรงใดๆ

จากนั้น นายอุดมพร อานัตติวงศ์
ผู้อำนวยการบริหารสำนักอนุรักษ์ป่าไม้ที่ 7 จ.นครราชสีมา
ได้เดินทางออกจากพื้นที่ป่าดงใหญ่ เพื่อรอให้ทางจังหวัดบุรีรัมย์
จัดหาผู้เข้ามาเจรจากับกลุ่มชาวบ้านใหม่อีกครั้ง และล่าสุด
ขณะยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร

บุรีรัมย์มีตำแหน่งงานเพิ่ม 4,000 อัตรา - ยอดเตะฝุ่น 2 หมื่นรายได้งานทำ 40%

บุรีรัมย์ - จัดหางาน จ.บุรีรัมย์
เร่งให้ผู้ว่างงานหรือผู้ที่ถูกเลิกจ้างมาสมัครงาน
หลังหลายบริษัทได้แจ้งมีตำแหน่งงานว่างทั้งในและต่างจังหวัดมากกว่า 4,000
อัตรา จากสถิติมีผู้ว่างงานทั้งรายเดิมและรายใหม่กว่า 20,000 คน
ได้ทำงานไปแล้วกว่า 40%

วันนี้ (9 มิ.ย.) นายสุทธิ สุโกศล จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์
เปิดเผยว่า ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์
ได้ประกาศให้แรงงานที่ว่างงาน หรือผู้ที่ถูกบริษัท ห้างร้านต่างๆ
เลิกจ้างเข้ามาสมัครงาน
เนื่องจากหลายบริษัทได้แจ้งมีตำแหน่งงานว่างในจังหวัดบุรีรัมย์ที่ยังต้อง
การแรงงานมากกว่า 3,000 อัตรา
ส่วนใหญ่เป็นงานประเภทฝ่ายผลิตตัดเย็บเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า

นอกจากนั้นยังมีบริษัทผู้ประกอบการ
โรงงานอุตสาหกรรมจากต่างจังหวัด
ที่ต้องการแรงงานช่างอิเล็กทรอนิกส์อีกกว่า 1,000 อัตรา

ทั้งนี้ ปัจจุบัน จ.บุรีรัมย์ มีแรงงานที่ว่างงานและถูกเลิกจ้าง
ในช่วงประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
มาขึ้นทะเบียนที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดฯ ไว้กว่า 3,300 คน
รวมกับผู้ว่างงานที่มีอยู่เดิมอีกกว่า 20,000 คน
ซึ่งแรงงานที่มาลงทะเบียนไว้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
จนขณะนี้มีงานทำแล้วประมาณ 40%
สำนักงานจัดหางานจังหวัดจึงขอแจ้งให้ผู้ว่างงานเข้ามาสมัครงานได้ในช่วงนี้
ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติที่กำลังประสบอยู่ได้

"อัตรา การว่างงานของแรงงานในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์อยู่ที่ประมาณ
2.2-2.4 เปอร์เซ็นต์ ตามหลักสากลผู้ว่างงานยังไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์
ถือว่าไม่อยู่ในขั้นวิกฤต ยังอยู่ในภาวะปกติยังสามารถแก้ไขปัญหาได้"
นายสุทธิ กล่าว

เรือนจำบุรีรัมย์เร่งบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังติดยาเสพติด

บุรีรัมย์ - เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์
เร่งบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจผู้ต้องขังที่ติดยาเสพติด
เพื่อปรับทัศนคติให้เลิกยาเสพติดได้อย่างถาวร
เมื่อพ้นโทษแล้วจะได้ไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก

วันนี้ (8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์
อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ โดย นายสุรสิทธิ์ จิตรชอบใจ
ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์
ได้นำผู้ต้องขังต้องโทษคดีเสพยาเสพติดที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจำนวน 110
คน เข้าอบรมในโครงการ
"บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจผู้ต้องขังในรูปแบบชุมชนบำบัด"
ซึ่งเป็นการบำบัดรักษาผู้ต้องขังที่ติดยาเสพติดในระบบต้องโทษ
ตามแนวคิดที่ว่าผู้ต้องขังที่ติดยาเสพติด
ถือเป็นผู้ป่วยเรื้อรังต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
เพื่อปรับทัศนคติผู้ต้องขัง ให้สามารถเลิกยาเสพติดได้อย่างถาวร
เมื่อพ้นโทษไปแล้วจะได้เป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก

นายสกลสฤษฎ์ บุญประดิษฐ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์
ประธานเปิดโครงการอบรมกล่าวว่า ผู้ติดยาเสพติดถือเป็นผู้ป่วย ดังนั้น
การได้รับการบำบัดฟื้นฟู
จึงถือเป็นประโยชน์แก่ผู้ติดยาเสพติดให้ได้มีโอกาสฟื้นฟูทั้งด้านร่างกายและ
จิตใจของตนเอง เมื่อพ้นโทษไปแล้วจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้อย่างปกติสุข
และไม่หวนกลับไปกระทำผิด หรือติดยาเสพติดซ้ำอีก
โดยสังคมต้องให้โอกาสผู้ต้องขังเหล่านี้ เพื่อให้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ
เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไป

ชาวบุรีรัมย์ 3,000 ดีเดย์เข้ายึด "ป่าดงใหญ่" 9 มิ.ย.- เผยบวงสรวง "อนุสาวรีย์เราสู้" ก่อนบุก

บุรีรัมย์ - แกนนำชาวบ้านบุรีรัมย์ ไร้ที่ทำกิน ทั้ง 4 กลุ่ม กว่า 3,000
คน ลั่นดีเดย์พรุ่งนี้ (9 มิ.ย.) บุกเข้ายึดป่าสงวนฯดงใหญ่
ที่เอกชนหมดสัญญาเช่ากว่า 23,700 ไร่ เผยร่วมทำพิธีบวงสรวง
"อนุสาวรีย์เราสู้" วีรชนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ก่อนนำชาวบ้านบุก
พร้อมเตรียมแผนปิดถนนสายยุทธศาสตร์บุรีรัมย์-ตาพระยา ต่อรอง
โวยรัฐยื้อไม่จัดสรรให้ชาวบ้านเช่าทำกินหลังเรียกร้องมานาน
และไม่หวั่นเกรง จนท.ใช้กำลังสลาย
ด้านหน่วยงานรัฐสนธิกำลังเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่

วันนี้ (8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำชาวบ้าน 4 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
กลุ่มอนุรักษ์ป่าดงใหญ่ 4 และ กลุ่มเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน
พร้อมชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินจากหลายอำเภอที่ จ.บุรีรัมย์ กว่า 3,000 คน
ได้เตรียมรวมตัวกันในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.) เพื่อนำหัวหมู
และเครื่องเซ่น ไปทำพิธีเซ่นไหว้ บวงสรวง เพื่อบอกกล่าว
"อนุสารีย์เราสู้" อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์
ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานของวีรชนคนกล้าผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)
หรือเหล่าผู้กล้าที่ได้เสียสละชีวิตจากการเข้าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์
แห่งประเทศไทยในอดีต ในเขตพื้นที่ อ.โนนดินแดง

จากนั้นทั้งกลุ่มแกนนำ
และชาวบ้านจะเข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ อ.โนนดินแดง
จ.บุรีรัมย์ ที่บริษัทเอกชนได้หมดสัญญาเช่าทั้ง 9 แปลง กว่า 23,700 ไร่
โดยชาวบ้านจะจัดสรรกันเอง ไม่ยึดตามมติของสภา องค์การบริหารส่วนตำบล
(อบต.) ลำนางรอง ซึ่งชาวบ้านอ้างว่าที่ผ่านมาชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้อง
และทำตามขั้นตอนของทางราชการมาตลอด
แต่ทางภาครัฐยื้อไม่มีการจัดสรรที่ดินให้ชาวบ้านเช่าทำกินตามนโยบายของ
รัฐบาล ซ้ำยังเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเข้าไปตัดต้นไม้ในเขตป่าที่หมดสัญญาเช่าดัง
กล่าวด้วย

นายญวน จันทร์ดี ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)
จ.บุรีรัมย์ หรือ อดีตสหาย "กำจัด" กล่าวว่า
ทางกลุ่มเห็นชอบที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนเช่าพื้นที่ป่าเสื่อม
โทรม ที่ราชพัสดุ และที่ดินที่บริษัทเอกชนหมดสัญญาเช่า
เพื่อใช้ทำกินแก้ไขปัญหาความยากจนของผู้ไม่มีที่ทำกิน
ประกอบกับรัฐบาลเคยมีพันธสัญญาตามนโยบาย 66/23 กับกลุ่ม ผรท.ว่า
จะช่วยเหลือจัดสรรที่ทำกินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่ดำเนินการตามสัญญา

"ขณะ นี้มีชาวบ้านหลายกลุ่มทยอยเข้าจับจองพื้นที่ป่าดงใหญ่ที่หมดสัมปทานจากเอกชน
แล้วหลายหมู่บ้าน เพราะความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของภาครัฐ
ทำให้ชาวบ้านหมดความอดทน" นายญวน กล่าว

ด้าน นายสมนึก ปัดชา เลขานุการกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
แกนนำกลุ่มชาวบ้าน กล่าวว่า ชาวบ้านทั้ง 4 กลุ่มได้มีมติร่วมกันว่า
ในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.) จะร่วมกันทำพิธีเซ่นไหว้
อนุสาวรีย์เราสู้ ก่อนจะพากันเดินทางเข้าไปในพื้นที่ป่าทั้งหมด
และพร้อมปักหลักต่อสู้จนถึงที่สุด
ไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่จะใช้กำลังเข้าไปผลักดันขับไล่
แต่หากมีการสลายโดยใช้กำลังทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ
ก็อาจมีมาตรการตอบโต้ต่อสู้ในทุกรูปแบบ
เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินได้ต่อสู้
และทำตามขั้นตอนของทางราชการทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแล
และจัดสรรที่ป่าให้ชาวบ้านเข้าไปเช่าทำกินตามมติที่สัญญาไว้ร่วมกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ว่า
ขณะนี้บริเวณโดยรอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์
ได้มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอโนนดินแดง จำนวนหนึ่ง
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
กรมป่าไม้ ทั้งจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวนกว่า 120
นาย ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับกลุ่มชาวบ้านที่เข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าดงใหญ่
โดยมีกางเต็นท์ปิดทางเข้า-ออกบริเวณป่าดงใหญ่
พร้อมตรวจตรารถทุกคันที่จะผ่าน เข้า-ออก บริเวณดังกล่าว
เพื่อป้องกันกลุ่มชาวบ้านที่จะเข้าไปบุกรุกเพิ่มขึ้น

ล่า สุด มีรายงานว่า ในวันนี้ ( 9 มิ.ย.)
ทางกลุ่มชาวบ้านจะมีการใช้มวลชนเข้าปิดถนนสายยุทธศาสตร์
เส้นทางบุรีรัมย์-ตาพระยา บริเวณหน้าอนุสาวรีย์เราสู้ ช่วงบ้านลำนางรอง
ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ด้วย
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รัฐกำลังหาวิธีการสกัดกั้นยับยั้งกลุ่มชาวบ้านทุกวิถีทาง
เพื่อไม่ให้กระทำการดังกล่าว
โดยมีการเรียกประชุมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
อย่างเต็มที่

รัฐแบกอ่วมอีก 2,000 ล้านชาวนาบุรีรัมย์ปล่อยข้าวหลุดจำนำกว่าแสนตัน

บุรีรัมย์ -
เผยไร้เงาชาวนาบุรีรัมย์ไถ่ถอนข้าวเปลือกจำนำในยุ้งฉางกับ ธ.ก.ส.กว่า
105,800 ตัน หลุดจำนำแล้ว 80%
คาดปล่อยหลุดทั้งหมดส่งผลรัฐแบกรับอานอีกร่วม 2,000 ล้าน
เหตุราคาซื้อขายท้องตลาดต่ำกว่าราคาจำนำ
พร้อมขู่เอาผิดเกษตรกรหากข้าวที่จำนำสูญหายเหลือไม่ครบตามจำนวน
ส่วนการเปิดรับจำนำข้าวนาปรังปีแรกยังเหลือโควตากว่า 100
ตันขณะหลายจังหวัดชุมนุมร้องรัฐเพิ่มโควตา


นาย นิยม รัตนเย็นใจ
ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ฤดูกาลผลิตปี 2551/52
มีเกษตรกรจ.บุรีรัมย์นำข้าวเปลือกนาปี
มาเข้าร่วมโครงการจำนำของรัฐบาลในรูปแบบจำนำในยุ้งฉางกับ ธ.ก.ส. จำนวน
16,800 ราย รวมปริมาณข้าวกว่า 105,800 ตัน ใช้งบประมาณในการรับจำนำกว่า
1,931 ล้านบาท

ขณะนี้ข้าวของเกษตรกรได้หลุดจำนำไปแล้วมากกว่า 80%
และภายในสิ้นเดือนมิถุนายนจะถึงนี้ จะสิ้นสุดระยะเวลาการไถ่ถอน
คาดว่าไม่มีเกษตรกรมาไถ่ถอนแม้แต่รายเดียว
เนื่องจากราคาซื้อขายข้าวในท้องตลาดมีราคาเพียงตันละ 14,300 บาท
ต่ำกว่าราคาจำนำ ที่สูงถึงตันละ 16,000 บาท

นายนิยมกล่าวอีกว่า
ส่วนข้าวที่หลุดจำนำขณะนี้ยังไม่ได้มีการแปรสภาพส่งให้โกดังกลาง
อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส.ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบคุณภาพ
และปริมาณข้าวในยุ้งฉางของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเดือนละ 1 ครั้ง
หากพบว่าข้าวของเกษตรกรรายใดสูญหาย เหลือไม่ครบตามจำนวน
เกษตรกรรายนั้นต้องมาชำระหนี้ที่ทำสัญญาไว้กับ ธ.ก.ส. ภายใน 7 วัน

"หาก ครบกำหนดแล้วยังไม่มาชำระ
ก็จะต้องถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
รวมทั้งหากโรงสีหรือผู้ประกอบการรายใดรับซื้อข้าวเปลือกของเกษตรกรที่เข้า
ร่วมโครงการจำนำ ก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมายในข้อหา รับซื้อของโจรเช่นกัน"
นายนิยม กล่าว

นายนิยมกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม
หลังจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในหลายจังหวัด
มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มโควตารับจำนำข้าวนาปรังปี 2552
เนื่องจากโควตาเต็ม จนกระทั่งรัฐบาลมีการเพิ่มโควตาอีก 2 ล้านตัน
แต่เกรงว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
จะเกิดความสับสนอาจเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาล
ชะลอการจำนำข้าวนาปรังทั่วประเทศ จึงขอแจ้งให้เกษตรกรทราบว่าปีนี้
จ.บุรีรัมย์ได้เปิดรับจำนำข้าวนาปรังเป็นปีแรกและได้รับการจัดสรรโควตาทั้ง
สิ้น 455 ตัน ขณะนี้มีเกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการแล้ว 300 ตัน
ยังเหลือโควตาจำนำอีกกว่า 100 ตัน
ขอให้เกษตรกรเร่งนำข้าวมาจำนำยังโรงสีที่เข้าร่วมโครงการตามจุดต่างๆ
ที่กำหนดไว้ ก่อนที่จะสิ้นสุดโครงการจำนำในวันที่ 31 ก.ค.ที่จะถึงนี้
เพื่อไม่ให้เสียโอกาส

"ปี นี้ จ.บุรีรัมย์มีเกษตรกรปลูกข้าวนาปรังใน 18 อำเภอ
พื้นที่กว่า 24,000 ไร่ มีผลผลิตประมาณ 13,000 ตัน
ปัจจุบันมีราคาซื้อขายในท้องตลาดกิโลกรัมละ 8-9 บาท
ส่วนราคารับจำนำอยู่ที่กิโลกรัมละ 11.80 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขาย
จึงขอให้เกษตรกรนำข้าวนาปรังมาเข้าร่วมโครงการก่อนจะสิ้นสุดระยะเวลาจำนำ"
นายนิยม กล่าว

"ป่าดงใหญ่" เดือด! ชาวบุรีรัมย์ขีดเส้นตายบุกยึด - จนท.ระดมตรึงกำลัง ยันไม่ใช้ความรุนแรง

บุรีรัมย์ - ชาวบ้านไม่มีที่ทำกินจาก 4 กลุ่มกว่า 3,000 คน
จับมือประกาศจุดยืนขีดเส้นตายภายใน
มิ.ย.บุกเข้ายึดป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ที่หมดสัญญาเช่าทั้ง 9 แปลง กว่า
23,700 ไร่ไม่สนมติสภา อบต.และไม่หวั่นเกรงรัฐใช้กำลังสลาย
ปฏิเสธเจรจาจังหวัด ขอคุยรมต.เท่านั้น ขณะที่จทน.ฝ่ายปกครองและป่าไม้กว่า
120 นาย ลงพื้นที่ทำความเข้าใจชาวบ้านและตั้งด่านตรวจสกัดทางเข้า-ออกป้องกันบุกยึด
ยันไม่ใช้ความรุนแรงและอาวุธสลาย แต่พร้อมใช้มาตรการทางกฎหมาย

วันนี้ (7 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กลุ่มอนุรักษ์ป่าดงใหญ่ 4
และกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน กว่า 3,000 คน ที่ จ.บุรีรัมย์
ได้ออกมารวมตัวเคลื่อนไหว เตรียมเข้าบุกยึดป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่
ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง ที่บริษัทเอกชนได้หมดสัญญาเช่าทั้ง 9 แปลง
รวมกว่า 23,700 ไร่ทั้งหมด
โดยจะไม่ให้เอกชนเช่าต่อครึ่งหนึ่งและให้ชาวบ้านเช่าทำกินครึ่งตามมติสภา
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ลำนางรอง
หลังจากได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐจัดสรรที่ดินดังกล่าวให้ชาวบ้าน
เช่าทำกิน มาหลายต่อหลายครั้ง

ทั้งนี้กลุ่มชาวบ้านอ้างว่าที่ผ่านมาได้ยื่นเรื่องขอเข้าไปเช่า
พื้นที่ป่าดังกล่าวทำกิน ตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการทุกอย่าง
แต่ทางภาครัฐกลับเพิกเฉย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ
รวมทั้งไม่ยอมตั้งตัวแทนชาวบ้านเป็นคณะกรรมการร่วมในการตรวจสอบจัดสรรที่ดิน
ให้เช่า

นอกจากนั้น ยังตั้งข้อสังเกตว่า
มีการเอื้อประโยชน์ปล่อยให้บริษัทเอกชน
เข้าไปตัดต้นยูคาลิปตัสจำนวนมากในเขตพื้นที่ป่าที่หมดสัญญาเช่า
จึงสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน
อีกทั้งจะไม่ขอเจรจากับทางจังหวัดบุรีรัมย์อีกต่อไป
ยกเว้นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องนี้เท่านั้น
พร้อมขีดเส้นตายภายในเดือนมิ.ย. นี้
หากรัฐไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องให้เสร้จสิ้น ชาวบ้านกว่า 3,000 คน
จะเข้ายึดพื้นที่ป่าที่หมดสัมปทานจากนายทุน

นายสมนึก ปัดชา เลขานุการกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
แกนนำกลุ่มชาวบ้าน กล่าวยืนยันว่า ชาวบ้านทั้ง 4
กลุ่มได้มีมติร่วมกันว่าจะเข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าทั้งหมดโดยจะไม่เช่า
ตามนโยบายรัฐและพร้อมที่จะปักหลักต่อสู้จนถึงที่สุดไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่
จะใช้กำลังเข้าไปผลักดันขับไล่
แต่หากการสลายโดยใช้กำลังทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ
ก็อาจมีมาตรการตอบโต้ต่อสู้ในทุกรูปแบบเพราะที่ผ่านมาชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำ
กินได้ต่อสู้ และทำตามขั้นตอนของทางราชการทุกอย่าง
แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแล
และจัดสรรที่ป่าให้ชาวบ้านเข้าไปเช่าทำกินตามมติที่สัญญาไว้ร่วมกัน

"ถึงวันนี้ชาวบ้านคงไม่เจรจากับทางจังหวัดบุรีรัมย์อีกต่อไป
แต่จะดำเนินการตามวิถีทางของชาวบ้านเอง
หากจะมีการเจรจาต้องเป็นรัฐมนตีที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงเท่านั้น" นายสมนึก
กล่าว

ขณะนี้มีชาวบ้านหลายกลุ่มทยอยเข้าจับจองพื้นที่ป่าดงใหญ่ที่หมด
สัมปทานจากเอกชนแล้วหลายหมู่บ้าน
เพราะความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของภาครัฐที่ล้าช้า
ทำให้ชาวบ้านหมดความอดทน

ด้าน นางสำราญ เพชรภักดี อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112 หมู่ที่ 1
บ.ลำนางรอง ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง กล่าวว่า เมื่อเดือน พ.ค.2550
เป็นต้นมา ชาวบ้านจากหลายพื้นที่กว่า 230 ครัวเรือน ประมาณ 700-800 คน
ได้เข้ามาจับจองพื้นที่ป่าดงใหญ่ จำนวน 3,902 ไร่
บริเวณหมู่บ้านใหม่ร่วมใจพัฒนา หมู่ที่ 1 บ.ลำนางรอง ต.ลำนางรอง
อ.โนนดินแดง มีการสร้างบ้านเรือนอาศัย ทำไร่ทำนา ปลูกมันสำปะหลัง
และปลูกพืชผักสวนครัว จนถึงทุกวันนี้

ที่ผ่านมามีการร่วมตรวจสอบพื้นที่กับทางบริษัทเอกชนเอกที่ได้รับ
สัมปทานมาตลอด แต่ข้อมูลจากการรังวัดพื้นที่ป่าของชาวบ้านกับเอกชนไม่ตรงกัน
ชาวบ้านวัดพื้นที่ได้มากกว่าเอกชนกว่า 5,000 ไร่
จึงไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีการตรวจสอบพื้นที่การของเช่าของเอกชนที่ผ่าน
มาอย่างถูกต้องหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันตลอดทั้งวัน
ได้มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอโนนดินแดง จำนวนหนึ่ง
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
กรมป่าไม้ ทั้งจากจ.นครราชสีมา และจ.บุรีรัมย์ จำนวน 123 นาย
ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับกลุ่มชาวบ้านที่เข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าดงใหญ่
ก่อนหน้าแล้วจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
กลุ่มบ้านเสียงสวรรค์ และกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน
พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเต็นท์ทางเข้า-ออกบริเวณป่าดงใหญ่
พร้อมตรวจตรารถทุกคันที่จะผ่านเข้า-ออกบริเวณดังกล่าว
รวมทั้งมีการจดรายชื่อและทะเบียนรถไว้
เพื่อป้องกันกลุ่มชาวบ้านที่จะเข้าไปบุกรุกเพิ่มขึ้น

นายสรรเพ็ชร เรืองรอง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ บร.5
ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า
กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะไม่ใช้อาวุธ และความรุนแรงเข้าไปสลายขับไล่
โดยจะเน้นสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านที่บุกรุกเข้าไปยึดป่าเป็นที่ทำกินว่า
พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ก่อนจะมีการออกหนังสือติดประกาศแจ้งให้ทราบในภายหลัง
หากยังฝ่าฝืนก็จะใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าไปผลักดันให้ผู้บุกรุกทั้งหมดออก
จากพื้นที่ป่าดังกล่าวต่อไป

ทางด้าน นายนิรันดร์ สุรัสวดี
ผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า
การทำงานของคณะกรรมการระดับจังหวัด และหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ในการที่จะเข้าไปร่วมตรวจสอบรังวัดและจัดสรรที่ป่าให้ชาวบ้าน
และบริษัทเอกชน เช่าครึ่งต่อครึ่งตามมติของสภา อบต.นั้น
ไม่ได้ล่าช้าตามที่กลุ่มชาวบ้านเข้าใจ
เนื่องจากต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง

ขณะนี้กำลังจะตั้งคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอ
โดยจะนำตัวแทนชาวบ้านทั้ง 4 กลุ่ม เข้ามาร่วมในการตรวจสอบรายชื่อ
และจัดทำรางวัดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

"ส่วนกรณีที่ชาวบ้านจะเข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าทั้ง 9 แปลงนั้น
เป็นการกระทำผิดกฎหมาย
อีกทั้งจะทำให้กระบวนการจัดสรรที่ดินให้เช่าทำกินล่าช้าลงไปอีก
หากกลุ่มชาวบ้านบุกรุกเข้าไปจริง
ก็จะต้องดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างแน่นอน" นายนิรันดร์ กล่าว

ธ.ก.ส.บุรีรัมย์หั่นดอกเบี้ยเงินกู้-ช่วยลูกค้าสู้วิกฤตสูญรายได้ 27.7 ล้าน/ปี

บุรีรัมย์ - ธ.ก.ส.บุรีรัมย์
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าทั้งเกษตรกรและสถาบัน รวมกว่า
106,900 ราย ยอดเงินกู้ 11,109 ล้าน
เพื่อช่วยเหลือให้สอดคล้องกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เผยสูญรายได้ปีละ 27.7
ล้าน ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังคงที่ไม่ปรับลด

วันนี้ (5 มิ.ย.) นายนิยม รัตนเย็นใจ
ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคาร
ธ.ก.ส.ได้มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ลูกค้า
ทั้งเกษตรกรและสถาบันที่กู้ยืมเงินกับทางธนาคาร ธ.ก.ส.ซึ่งมีสาขาหลัก 12
สาขา และสาขาย่อยอีก 11 สาขา ใน จ.บุรีรัมย์
มีลูกค้าที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเงินเพื่อนำไปลงทุนประกอบอาชีพ
และทำการเกษตรทั้งจังหวัดกว่า 106,900 ราย รวมยอดเงินกู้กว่า 11,109
ล้านบาท

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าในครั้งนี้
เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นเกษตรกรในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
โดยได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป
ซึ่งจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวทางธนาคารต้องสูญเสียรายได้เดือนละ
กว่า 2.3 ล้านบาท หรือปีละ 27.7 ล้านบาท

"ลูกค้า รายย่อยชั้นดีจากดอกเบี้ย 7 บาท ลดเหลือ 6.75 บาท
ลูกค้าที่เป็นสถาบันชั้นดี เช่น สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน
และองค์กร จากเดิมคิดอัตราดอกเบี้ย 5 บาท ลดเหลือ 4.75 บาท
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ส่วนอัตรายดอกเบี้ยเงินฝากยังคงที่ไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด" นายนิยม
กล่าว

แม่ค้าบุรีรัมย์โวยตลาดนัดสัญจรเกลื่อน-เดือดร้อนหนักขายของไม่ได้ซ้ำเติมวิกฤต ศก.

บุรีรัมย์ - พ่อค้าแม่ค้าโวยมหกรรมสินค้า "ตลาดนัดสัญจร" เกลื่อนเมือง
ทำเดือดร้อนหนักร้านค้าท้องถิ่นขายของไม่ได้ ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจ
วอนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าเห็นเพียงประโยชน์จากค่าเช่าพื้นที่
จนลืมเหลียวแลแม่ค้าพ่อค้าท้องถิ่นที่เสียภาษีบำรุงท้องถิ่นพัฒนาบ้านเมือง

วันนี้ (4 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
บรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
และผู้ประกอบการร้านขายของชำในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
ต่างได้รับผลกระทบจากการที่ได้มีกลุ่มผู้ประกอบการต่างถิ่นเข้ามาจัด
งานมหกรรมสินค้าตลาดนัดสัญจร ในพื้นที่จังหวัด เป็นจำนวนมาก
โดยหมุนเวียนไปตามสถานที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านค้าในท้องถิ่นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด
ได้รับความเดือดร้อนขายสินค้าไม่ได้
ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจที่ขายสินค้าได้น้อยอยู่แล้ว

นางกัลยารัตน์ ทองเพชร แม่ค้าแผงในตลาดสดเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
กล่าวว่า พวกเราได้รับผลกระทบจากตลาดนัดสัญจร ที่จัดขึ้นบ่อยเกินไป
โดยมีเกือบทุกวันและวันละหลายจุด
จนร้านค้าพวกเราชาวบุรีรัมย์ขายของแทบไม่ได้
ซึ่งต้องแบกรับภาระค่าเช่าแผง
ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนจนหมุนเงินไม่ทันต้องกู้เงินรายวันนอกระบบมาหมุนเวียน
เสียดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 10 ต่อวันก็ต้องยอม เพราะไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร
แผงค้าบางแผง ร้านขายของชำหลายแห่งต้องปิดตัวลง
จึงวิงวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นใจพ่อค้าแม่ค้าชาวบุรีรัมย์
ช่วยลดความถี่ในการจัดมหกรรมสินค้าตลาดนัดสัญจรลงด้วย

ด้าน นางเยาวภา ศิริปุน แม่ค้าเขียงหมู กล่าวว่า
ช่วงนี้ยอดขายลดลงกว่า 50% นอกจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจแล้ว
ยังถูกซ้ำเติมด้วยตลาดนัด หรือมหกรรมสินค้าสัญจรที่จัดขึ้นบ่อยครั้ง
ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จากค่าเช่าพื้นที่เพียงไม่กี่คน
แต่กลับทำให้พ่อค้าแม่ค้าร้านขายของทั้งจังหวัดเดือดร้อน
ขาดทุนหลายร้านอยู่ไม่ได้ต้องปิดตัว

"จึง ขอให้ทางจังหวัดบุรีรัมย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาตลาดนัด
ด้วย อย่าเห็นประโยชน์แต่เพียงค่าเช่าพื้นที่
ให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าต่างจังหวัดเข้ามาขายสินค้ากอบโกยเงินชาวบุรีรัมย์ออก
ไป แต่พ่อค้าแม่ค้าบุรีรัมย์ที่เสียภาษีบำรุงพัฒนาท้องที่กลับไม่ได้รับการ
เหลียวแล" นางเยาวภา กล่าว

ปั๊มน้ำมันบุรีรัมย์เจ๊งแจ้งปิดกิจการแล้วกว่า 100 แห่ง

บุรีรัมย์ - ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันใน จ.บุรีรัมย์ แจ้งปิดกิจการแล้วกว่า
117 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นปั๊มขนาดเล็ก
หลังประสบปัญหาราคาน้ำมันผันผวนและวิกฤตเศรษฐกิจ
ไม่มีเงินทุนสำรองซื้อน้ำมันมาจำหน่าย
ขณะที่ปีนี้มีปั๊มแก๊สขออนุญาตเปิดให้บริการเพิ่ม 4 แห่ง รวมเป็น 8 แห่ง

นายดุสิต ขาวเนียม พลังงานจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
จากข้อมูลในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
ได้มีผู้ประกอบการขออนุญาตเปิดสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงรวมทั้งสิ้น
548 แห่ง หลังจากประสบปัญหาภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและราคาน้ำมันโลกผันผวน
ทำให้ผู้ประกอบการได้แจ้งขอเลิกกิจการไปแล้วจำนวน 117 แห่ง
ส่วนใหญ่เป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็ก
เนื่องจากไม่มีเงินทุนสำรองในการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงมาจำหน่าย

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ได้มีผู้มาขออนุญาตเปิดสถานีบริการน้ำมัน
ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจจำนวน 18 แห่ง
และตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ก็มีผู้ประกอบการขออนุญาตเปิดปั๊มแก๊ส
หรือสถานีบริการแก๊สแอลพีจี เพิ่มอีก 4 แห่ง
เพราะประชาชนผู้ใช้รถยนต์ได้หันมาใช้บริการเติมแก๊สแอลพีจีมากขึ้น
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
จากเดิมที่มีผู้ขออนุญาตเปิดให้บริการแก๊สแอลพีจีอยู่แล้ว 4 แห่ง รวมเป็น
8 แห่ง

นายดุสิต กล่าวอีกว่า หลังจากภาวะราคาน้ำมันผันผวน
ทางสำนักงานพลังงานจังหวัดบุรีรัมย์
ก็ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่หน่วยทดสอบคุณภาพน้ำมัน กรมธุรกิจพลังงาน

"หากตรวจพบว่าผู้ประกอบการรายใดมีการลักลอบปลอมปนน้ำมันหรือน้ำมัน
ไม่ได้มาตรฐาน จะถูกดำเนินการเอาผิดโดยการแจ้งปิดกิจการทันที
ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากประชาชน
แต่หลังเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบยังไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด" นายดุสิต
กล่าว

แก๊งทองเก๊อาละวาดบุรีรัมย์หนัก-ร้านทองผวาตกเป็นเหยื่อแล้ว 5 ราย

บุรีรัมย์ - แก๊งมิจฉาชีพหลอกขายและจำนำทองปลอมอาละวาดบุรีรัมย์ หนัก
มีร้านทองตกเป็นเหยื่อแล้ว 5 ร้าน ตร.สามารถติดตามจับกุมตัวได้ 1 ราย
ขณะเจ้าของร้านทองผวาต้องเพิ่มความระมัดระวังในการตรวจสอบทองมากขึ้น

วันนี้ (4 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก
แก๊งแก๊งมิจฉาชีพได้ออกอาละวาดนำทองปลอมตระเวนหลอกขายและจำนำตามร้านทองหลาย
แห่งในเขตพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ขณะนี้มีร้านทองตกเหยื่อแล้ว 5 ร้าน
โดยพฤติการณ์แก๊งดังกล่าวจะอาศัยช่วงที่มีลูกค้าเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยน
ทองคำรูปพรรณภายในร้านทองจำนวนมาก

จากนั้นจะนำทองปลอมที่เตรียมมา ออกมาหลอกขายหรือจำนำ
ทำให้เจ้าของร้านบางแห่งไม่ทันได้ตรวจสอบทองให้ชัดเจน
จนมาทราบภายหลังว่าเป็นทองปลอมจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยติดตามจับกุม

ขณะนี้สามารถติดตามจับกุมได้แล้ว 1 ราย
แต่คนร้ายบางรายได้ไหวตัวทัน หากเจ้าของร้านตรวจสอบพบว่าเป็นทองปลอม
ก็จะวิ่งหนีออกจากร้านทันที
ทำให้ร้านทองหลายแห่งหวาดผวาต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งติดตามจับกุมกลุ่มแก๊งดังกล่าวมาดำเนินคดี
แล้ว

นางธัญญพัทธ์ สุพรรณสมบูรณ์
เจ้าของร้านทองแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า
ตนเป็นหนึ่งในจำนวนร้านที่ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกนำทองปลอมมาขายให้
แต่โชคดีที่ไหวตัวทันนำทองไปตรวจสอบ และพบว่า เป็นทองปลอม
จึงยังไม่สูญเสียเงิน
ส่วนคนร้ายได้อ้างว่าคนอื่นฝากมาขายแล้ววิ่งหลบหนีไป

"อย่าง ไรก็ตาม ช่วงนี้ทางร้านต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ทั้งการตรวจสอบทอง ติดตั้งลูกกรง และกล้องวงจรปิด
เพื่อป้องกันกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพก่อเหตุปล้นจี้
หรือหลอกขายทองปลอมดังกล่าวด้วย" นางธัญญพัทธ์ กล่าว

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เทศบาล เมืองบุรีรัมย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ และ ศูนย์อนามัยที่ 5 นครราชสีมา ร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ "สถานีขนส่งสะอาด ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009"

from MOPH-ข่าวภูมิภาค by กลุ่มงานอนามัยสิ่งแวลล้อม ศูนย์อนามัยที่ 5 นครราชสีมา
ใน วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 สำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ และศูนย์อนามัยที่ 5 นครราชสีมา
ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ "สถานีขนส่งสะอาด
ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" ชนิด AH1N1 ณ
สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบุรีรัมย์ โดยนางปาลีรัตน์ สมานประธาน
นายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ เป็นประธานในงานนี้
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์
และศูนย์อนามัยที่ 5 นครราชสีมา ร่วมในพิธี กิจกรรมในงานประกอบด้วย
การให้ความรู้ประชาชน การจัดนิทรรศการ การสาธิตการล้างมืออย่างถูกวิธี 7
ขั้นตอน การเช็ดทำความสะอาดรถโดยสาร ตู้โทรศัพท์สาธารณะ
ห้องส้วมสาธารณะและแจกเอกสารเผยแพร่แก่ประชาชน
การรณรงค์ในวันนี้นอกจากจัดในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
แล้วยังมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ที่สถานีขนส่งอำเภอประโคนชัย และอำเภอนางรอง
จังหวัดบุรีรัมย์ อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์แกนนำ 3 กลุ่มขู่แจ้งจับ จนท.รัฐ - ปล่อยบุกยึดป่าดงใหญ่/ยื้อให้ชาวบ้านเช่า

บุรีรัมย์ - แกนนำ 3 กลุ่มชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ ลั่นแจ้งจับเจ้าหน้าที่รัฐ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ชาวบ้าน 170
ครอบครัว บุกยึดพื้นที่ป่าสงวนดงใหญ่ที่เอกชนเช่าและหมดสัมปทานก่อนได้รับอนุญาต
8,400 ไร่ พร้อมขู่เข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าเช่นกัน
หากล่าช้ายื้อเวลาไม่จัดสรรป่าดงใหญ่ที่เอกชนหมดสัญญาเช่ากว่า 2.3
หมื่นไร่ ให้ชาวบ้านกว่า 3,000 คนได้เช่าทำกิน

ช่วงบ่ายวันนี้ (3 มิ.ย.)
ภายหลังทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้เรียกประชุมคณะกรรมการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยว
ข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณาจัดสรรที่ทำดินทำกิน
และแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ อ.โนนดินแดง
ที่ศาลาประชาคมจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมี นายพินิจ บุญเลิศ
รองผู้ว่าราชการบุรีรัมย์ เป็นประธานในการประชุม
แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้กลับเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่
อีกชุด จึงสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มแกนนำ
และตัวแทนชาวบ้านที่มาร่วมรับฟังการประชุมเป็นอย่างมาก

ต่อมาแกนนำ 3 กลุ่ม ประกอบไปด้วย กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
อ.โนนดินแดง กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และกลุ่มอนุรักษ์ป่าดงใหญ่ 4
อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ได้ร่วมกันออกมาแถลง
เตรียมเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้ชาวบ้าน ม.1 และ ม.10 ต.ลำนางรอง
กว่า 170 ครัวเรือน เข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ในปี 2552
รวมพื้นที่กว่า 8,400 ไร่ ใน 1 ในจำนวน 9 แปลง
ที่บริษัทเอกชนได้เช่าปลูกป่าเศรษฐกิจ และหมดสัญญาสัมปทาน

รวมทั้งเจ้าหน้าที่ยื้อไม่ปฏิบัติตามมติสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
(อบต.) ลำนางรอง
ที่มีมติเห็นชอบให้บริษัทเอกชนเช่าปลูกป่าเศรษฐกิจครึ่งหนึ่ง
และให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินเช่าทำกินอีกครึ่งหนึ่ง

ด้าน นายสมนึก ปัดชา เลขานุการกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง
อ.โนนดินแดง กล่าวว่า แกนนำทั้ง 3 กลุ่ม ได้ยื่นคำขาด หากภายในวันที่ 5
มิ.ย.ที่จะถึงนี้
ทางภาครัฐยังไม่เข้าไปดำเนินการผลักดันชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวออกจากพื้นที่
ป่า ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินกว่า 3,000 คน
ที่เคยต่อสู้เรียกร้องร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2546
ก็จะเข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าที่บริษัทเอกชนจะหมดสัญญาเช่าที่มีอยู่กว่า
23,000 ไร่ เช่นกัน

"ที่ ผ่านมา ทางแกนนำ
และชาวบ้านได้ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนของทางภาครัฐมาโดยตลอด
แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม
จึงยืนยันว่าหากทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการดำเนินการใดๆ
ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินกว่า 3,000 คน
ก็จะเข้าไปบุกยึดพื้นที่ป่าดังกล่าวทันที
หรืออาจมีมาตรการในการเคลื่อนไหวอื่นๆ อีก จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม
และได้รับการช่วยเหลือจากทางภาครัฐอย่างจริงจัง" นายสมนึก กล่าว

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชาวบุรีรัมย์เริ่มนำรถยนต์มาติดตั้งถังแก๊ส หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง

บุรีรัมย์ - ประชาชนผู้ใช้รถ จ.บุรีรัมย์
เริ่มทยอยนำรถยนต์มาติดตั้งถังบรรจุแก๊สแอลพีจีมากขึ้น
และนำรถที่ติดตั้งถังแก๊สแล้วมาตรวจเช็คสภาพถังให้ใช้การได้เพื่อเปลี่ยนมา
ใช้แก๊สประหยัดค่าใช้จ่าย หลังราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะลุ
30 บาท/ลิตร

วันนี้ (2 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตามร้าน
หรือศูนย์บริการติดตั้งถังแก๊สแอลพีจี ในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
ที่มีอยู่ร่วม 10 แห่งเริ่มคึกคัก
ได้มีประชาชนทยอยนำรถยนต์มาติดตั้งถังบรรจุแก๊ส แอลพีจี
และนำรถที่เคยติดตั้งถังแก๊สก่อนหน้านี้แล้ว
เข้ามาตรวจเช็กสภาพถังให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
เพื่อเปลี่ยนมาเติมแก๊สประหยัดค่าใช้จ่าย
หลังจากน้ำมันได้ปรับราคาสูงขึ้นอีกรอบ
โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินขณะนี้ราคาขายปลีกพุ่งทะลุกว่า 30 บาท/ลิตรแล้ว
และคาดว่าจะปรับขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

นายอัชชา สุวรรณกูฎ เจ้าของร้าน "ปณชัย ออโต้แก๊ส" ตั้งอยู่ในเขต
อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า
ในเดือนที่ผ่านมาได้มีผู้นำรถยนต์มาติดตั้งถังบรรจุแก๊สกว่า 10 คัน
รวมทั้งได้นำรถที่ติดตั้งถังบรรจุแก๊สมาซ่อมและตรวจเช็คสภาพอีกเป็นจำนวนมาก
ต่างจากช่วงที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทย
ที่ได้ปรับลดภาษีทำให้น้ำมันมีราคาลดลง
ทำให้ประชาชนหันไปใช้น้ำมันส่งผลให้ยอดติดตั้งถังแก๊สแอลพีจีลดลงตามไปด้วย

"เชื่อ ว่า หลังจากนี้
ไปจะมีประชาชนสนใจนำรถยนต์มาติดตั้งถังบรรจุแก๊สเพิ่มขึ้น
หากดูจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนค่าบริการในการติดตั้งช่วงนี้ก็ลดลงเกือบเท่าตัว
โดยระบบหัวฉีดจากช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงถึงลิตรละ 40 บาท
ค่าถังและค่าติดตั้งอยู่ที่ 39,000 บาท ขณะนี้เหลือเพียง 26,000 บาท
ส่วนระบบธรรมดา จากเมื่อก่อน 22,000 บาท ขณะนี้เหลือเพียง 13,000
บาทเท่านั้น" นายอัชชา กล่าว