วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อดีต ส.ส.ร.บุรีรัมย์ ซัดงานแซยิด "นช.แม้ว" ระคายเคืองเบื้องสูง/มีแต่สร้างกรรมเพิ่ม

บุรีรัมย์ - นักการเมืองกลุ่มทาสเงิน "นช.แม้ว" บุรีรัมย์ เตรียมจัด
"แซยิด" วันเกิดพ่อทักษิณ นิมนต์พระ 61 รูป
สวดมนต์ทำบุญหวังชดใช้กรรมชั่ว ระดมเสื้อแดงถ่อยร่วมงาน ด้านอดีต
ส.ส.ร.ชี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเพื่อล่ารายชื่อถวายฎีกา
ทำให้ระคายเคืองสถาบันเบื้องสูง ซัดทำบุญสะเดาะเคราะห์ใดๆ
ไม่สามารถลบล้างความผิดได้ มีแต่จะสร้างกรรมเพิ่ม

วันนี้ (24 ก.ค.) นายโสภณ เพชรสว่าง อดีต ส.ส.บุรีรัมย์
พรรคไทยรักไทย และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย
กล่าวถึงการจัดงานแซยิด 60 ปี ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน ว่า ในส่วนของ จ.บุรีรัมย์
ได้เตรียมจัดงานวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นในวันที่ 26 ก.ค.นี้
ตั้งแต่เวลา 13.30 น.เป็นต้นไป ณ วัดขุนก้อง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
โดยจะนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 61 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ สวดให้ศีลให้พร
และถวายสังฆทาน ทอดผ้าป่า ทำบุญถวายวัด

นายโสภณ กล่าวต่อว่า จะมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์
ของพรรคเพื่อไทย มาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งหากประชาชนชาวบุรีรัมย์คนใด ยังรักศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ
สามารถมาร่วมงานได้ เราจะไม่มีการเกณฑ์คนมาร่วมงาน
อยากให้มาด้วยความสมัครใจ และไม่มีการเลี้ยงข้าวด้วย

"หลังเสร็จพิธีสงฆ์ จะเป็นการพบปะ พูดคุยปราศรัยกับผู้มาร่วมงาน
ส่วนจะมีการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาด้วยหรือไม่
คงต้องรอดูอีกครั้งหนึ่ง" นายโสภณ กล่าว

ทางด้าน นายถาวร จันทร์สม อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540
จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า งานแซยิดครบรอบ 60 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่กลุ่มเสื้อแสดงหลายจังหวัดจะจัดขึ้นนั้น ไม่ใช่งานสะเดาะเคราะห์
หรือทำบุญต่ออายุให้กับอดีตนายกฯ ธรรมดา
แต่จะเป็นการล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาของพระราชทานอภัยโทษให้กับ
พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะการล่ารายชื่อที่ได้กำหนดไว้ไม่เกินวันที่ 31 ก.ค.นี้
ถือว่างานแซยิดครั้งนี้
น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของคนบางกลุ่มที่ต้องการช่วยอดีตนายกฯ
ให้รอดพ้นจากคดีความที่มีอยู่ทั้งหมด

ทั้งนี้ อยากขอแนะนำว่า
ไม่น่าจะล่ารายชื่อเพื่อนำไปถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองสถาบันเบื้องสูง น่าจะล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อ
เพื่อไปแก้ไขกฎหมายจะดีกว่า เพราะสามารถทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่สร้างความวุ่นวายแตกแยกสังคมและประเทศชาติ

"ถึงแม้จะจัดงานแซยิด หรือทำบุญสะเดาะเคราะห์ใดๆ ก็ตาม
ก็ไม่สามารถจะลบล้างความผิดที่เป็นคดีความที่ก่อขึ้นมาทั้งหมดได้
อย่างเช่นกับการล่ารายชื่อไปถวายฎีกาในหลวงเพื่อขออภัยโทษนั้นก็เป็นการ
สร้างกรรมอีกแบบหนึ่ง ขอให้ทุกเรื่องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า"
นายถาวร กล่าว

ยกย่องเป็น"เด็กดีบุรีรัมย์" 2 นร.เก็บเงินได้ 5 หมื่นตามคืนเจ้าของ

บุรีรัมย์ - สองเด็กนักเรียนที่บุรีรัมย์
เก็บเงินได้ตามคืนหาเจ้าของรายแรก 5 หมื่นบาท อีกราย 4 พันบาท
ทั้งสองเผยภูมิใจกับการได้ทำความดี ขณะสพท.บุรีรัมย์ เขต 1
มอบประกาศเกียรติคุณยกย่อง เป็น "เด็กดีบุรีรัมย์"

วันนี้ (23 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) บุรีรัมย์ เขต 1
ได้มอบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่นักเรียนในสังกัด จำนวน 2 ราย
ที่เก็บเงินได้แล้วนำส่งคืนเจ้าของ ประกอบด้วย นางสาววิไลพร มีนาม
นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนธารทองพิทยาคม อ.ลำปลายมาศ
ซึ่งเก็บเงินได้จำนวน 50,000 บาท ที่มีผู้ทำตกไว้ที่บ้านหนองกะทิง
แล้วนำไปให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศหาเจ้าของ

ต่อมาได้ทราบว่า นายสิม และ นางเพ็ญ รักพินิจ สองสามี ภรรรยา
ชาวบ้านหมู่ 11 ตำบลหนองกะทิง อ.ลำปลายมาศ
ได้ไปเบิกเงินจากธนาคารมาแล้วทำตกหาย จึงได้นำส่งมอบคืนให้ครบถ้วน
และนายมงคล เต็งบุษณาคัม ผู้ใหญ่บ้าน ได้ทำหนังสือยกย่องความดีของ
นางสาววิไลพร ไปยังทางโรงเรียนธารทองพิทยาคม
เมื่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
ซึ่งเป็นต้นสังกัดทราบเรื่อง จึงได้มอบโล่เกียรติคุณให้
เพื่อยกย่องชมเชยเป็น "เด็กดีของบุรีรัมย์"

นอกจากนี้ ยังมี ด.ช. ปราเมธ เติมพันธ์
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเมืองต่ำ ต.หนองกะทิง
อ.ลำปลายมาศ เก็บเงินได้จำนวน 4,000 บาท ระหว่างเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน
และนำไปให้โรงเรียนประกาศหาเจ้าของ พร้อมกับมอบคืนให้แก่ นางจันทา
ไกรสรพันธ์ ชาวบ้านหนองเมืองต่ำ หมู่ที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของเงินดังกล่าว

นางสาววิไลพร มีนาม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
โรงเรียนธารทองพิทยาคม อ.ลำปลายมาศ กล่าวว่า
พ่อแม่พร่ำสอนเสมอว่าหากเราเก็บของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน
เงินทอง เราต้องส่งคืนเจ้าของ เพราะคนที่ทำหาย เขาต้องลำบากกว่าจะหามาได้
จึงทำให้ไม่คิดอยากได้ของคนอื่น แม้จะมีมูลค่ามากหรือน้อยก็ตาม
ภูมิใจมากกับการทำความดีครั้งนี้

ด้าน ด.ช.ปราเมธ เติมพันธ์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนบ้านหนองเมืองต่ำ กล่าวว่า รู้สึกดีใจกับการทำความดีครั้งนี้
แม้เงินที่เก็บได้จะไม่มาก แต่คิดว่ามีความหมายมากสำหรับเจ้าของที่ทำหาย
จึงอยากให้ทุกคนหากเก็บสิ่งของ หรือทรัพย์สิน เงินทอง ของคนอื่นได้
ที่ไม่ใช่ของเรา ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ แจ้งครู
เพื่อติดตามหาเจ้าของคืนให้เขาต่อไป

ทางด้าน นายณรงค์ แผ้วพลสง
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
ให้ความสำคัญในการปลูกฝังนักเรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม
ควบคู่ไปกับการเป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ
และเมื่อได้รับรายงานเกี่ยวกับนักเรียนที่ทำความดี
ก็จะมีการยกย่องเชิดชูด้วยการมอบประกาศเกียรติคุณให้ทุกครั้ง
เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นักเรียนที่ทำความดี
และเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่นต่อไป

"ที่ผ่านมาในแต่ละปีมีนักเรียนในสังกัดที่กระทำความดีในลักษณะเช่น
นี้หลายราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่เยาวชนของเราได้แสดงออกถึงการเป็นคนดี
มีคุณธรรม โดยเฉพาะในด้านความซื่อสัตย์ ความมีน้ำใจเห็นใจผู้อื่น
อันเป็นคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน" นายณรงค์
กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000083569

ศาลบุรีรัมย์พิพากษาสั่ง"ร.ฟ.ท."ชดใช้ 14 ล้าน - โศกนาฏกรมชนรถ นร.ดับ 9 ศพ

บุรีรัมย์ - ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ มีคำพิพากษาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับพ่อแม่เด็กนักเรียนและคนขับรถรับส่งนักเรียนที่
ถูกรถไฟชนเสียชีวิตรวม 9 ราย เมื่อ 14 ม.ค.ที่ผ่านมารวมเป็นเงินกว่า 14
ล้าน ชี้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่ทำเครื่องกั้นรถไฟ
จนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม

วันนี้ (23 ก.ค.) ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้อ่านคำพิพากษาคดีแพ่ง
หมายเลขดำที่ 373/2552 ที่ นายทองจันทร์ ศรัทธาธรรม กับพวกรวม 12 คน
ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จำเลย
ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหาย เป็นเงินจำนวน 54.5 ล้านบาท
ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2552

โดยศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ได้พิพากษาสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้กับโจทก์ ทั้ง 12 คน
กรณีที่ขบวนรถไฟได้พุ่งชนรถรับส่งนักเรียน ที่บริเวณแยกหนองแสง
ในเขตเทศบาลตำลำปลายมาศ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
เหตุเกิดเมื่อเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2552 ที่ผ่านมา
ทำให้เด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลบำรุงวิทยา โรงเรียนธารทองวิทยา
และคนขับรถ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน 9 ราย เป็นเด็กนักเรียน 8 ราย
และ คนขับรถ 1 ราย อีกทั้งยังมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ศาลได้วินิจฉัยว่า
จุดที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางข้ามรถไฟอยู่ในเขตเทศบาลมีประชาชนสัญจรไปมาพลุก
พล่านตลอดเวลา แต่กลับไม่การติดตั้งเครื่องกั้น
ทั้งที่ทางจำเลยมีหน้าที่ดูแลกิจการด้านรถไฟของประเทศไทย
ทั้งด้านการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัย การให้บริการ
และความสะดวกต่างๆ ของกิจการรถไฟ แต่กลับปล่อยปะละเลย
และไม่มีพนักงานควบคุมดูแลประจำ

การรถไฟประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ไม่ทำการติดตั้งเครื่องกั้นรถไฟ จนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว
จึงได้มีคำสั่ง ให้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นจำเลย
รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้กับโจทก์
โดยให้ชดเชยชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 และ 2 จำนวน 1,298,300 บาท โจทก์ที่
3 และ 4 จำนวน 2,104,450 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 1,939,000 บาท โจทก์ที่ 6
จำนวน 1,684,700 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 1,800,400 บาท โจทก์ที่ 8 และ 9
จำนวน 1,781,775 บาท โจทก์ที่ 10 จำนวน 1,860,000 บาท และโจทก์ที่ 11
จำนวน 1,918,900 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,387,525 บาท

นางสนอง นาคินชาติ อายุ 42 ปี
ผู้ปกครองเด็กนักเรียนที่ถูกรถไฟชนเสียชีวิต เปิดเผยว่า
ถึงแม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินให้ชนะในคดีนี้
แต่ความโศกเศร้าและความทรงจำที่สูญเสียหลานชายไปยังไม่เลือนหาย
อยากให้ทางการรถไฟฯออกมารับผิดชอบ และยุติคดีเพียงเท่านี้
เพราะผู้ปกครองทั้งหมดที่เป็นโจทก์ฟ้องล้วนแล้วแต่เป็นผู้สูญเสีย
เพราะเงินจำนวนนี้จะสามารถเยียวยาครอบครัวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

"จนถึงขณะนี้บริเวณทางข้ามรถไฟที่เกิดเหตุดังกล่าวทางการรถไฟฯ
ก็ยังไม่มีการมาดูแล เพิ่มระบบความปลอดภัยแต่อย่างใด มีเพียงเทศบาลฯ
เข้าไปทำแผงกั้นให้กับผู้สัญจรไปมาเท่านั้น" นางสนอง กล่าว

ทางด้าน นายวุฒิกาญจน์ กุลสุวรรณ ทนายความ และ
กรรมการสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า
คดีนี้ทางทนายความได้ฟ้องเป็นคดีอานาถา
โดยยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเนื่องจากผู้ปกครองล้วนแต่เป็นผู้ยาก
จน โดยได้ยื่นฟ้องมาตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. 2552 ที่ผ่านมา
จนในที่สุดวันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษาตัดสิให้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นจำเลย ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับโจทย์ที่ 1 - 11
รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 14 ล้านบาท

"คดีนี้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทราบเรื่องแล้ว
แต่ไม่ได้ใช้สิทธิ์ยื่นคำให้การต่อสู้คดี
และศาลได้สืบพยานฝ่ายโจทย์เพียงฝ่ายเดียว จนมีคำพิพากษาตัดสินในวันนี้"
นายวุฒิกาญจน์ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บุรีรัมย์ท้องฟ้าปิด นร.เฝ้าชม "สุริยุปราคา" ยอดเขากระโดงผิดหวัง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2552 11:22 น.
บุรีรัมย์ - เด็กนักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร บุรีรัมย์
ขึ้นไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ "สุริยุปราคา" บนยอดเขากระโดงต่างผิดหวัง
เหตุสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยท้องฟ้าปิด
ไม่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติครั้งนี้ได้

วันนี้ (22 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะ ครู อาจารย์
และเด็กนักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร ที่นำอุปกรณ์ทั้งกล้องโทรทัศน์ หน้ากาก
และแผ่นกรองแสง ขึ้นไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์สุริยุปราคา
บริเวณลานหน้าพระพุทธรูปพระสุภัทรพิตร บนยอดเขากระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง
จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่เวลา 07.00 น.ต่างผิดหวัง
เมื่อสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ท้องฟ้าปิด
และมีเมฆมากทำให้ไม่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้ตามที่นักดารา
ศาสตร์ได้คำนวณไว้ ซึ่ง จ.บุรีรัมย์
จะสามารถมองเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวได้บางส่วน
แต่ท้องฟ้ากลับไม่เอื้ออำนวย

อย่างไรก็ตาม
โรงเรียนได้มีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติการ
เกิดสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา
เพื่อเป็นการเพิ่มทักษะ ความรู้ ให้กับนักเรียน
นำไปประกอบการเรียนการสอนด้วย

นายมนต์ชัย ใจเอื้อ อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์โรงเรียนภัทรบพิตร
กล่าวว่า วันนี้ทางครู อาจารย์ และนักเรียน
ที่ขึ้นไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาบนยอดเขากระโดง รู้สึกผิดหวัง
ที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวได้
แต่ในวันที่ 15 ม.ค.53
ที่จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาก็จะพานักเรียนขึ้นมาชมและศึกษาอีกครั้ง


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082724

สั่งล่าแก๊งอ้างโครงการพระราชดำริหลอกปลูก "ตะกูยักษ์" - ต้มอีสานร่วมหมื่นราย

บุรีรัมย์ - จังหวัดบุรีรัมย์
สั่งตรวจติดตามเอาผิดกลุ่มบริษัทมิจฉาชีพแอบอ้างโครงการพระราชดำริ
หาผลประโยชน์ในการตุ๋นชาวบ้านและเกษตรกรปลูกต้น "ตะกูยักษ์"
ในเชิงพาณิชย์ หลอกลงทุนไร่ละ 2.5 หมื่น โกยผลตอบแทนถึงไร่ละกว่า 3 แสน
เผยเกษตรกรอีสานตกเป็นเหยื่อแล้วร่วมหมื่นราย

วันนี้ (22 ก.ค.) นายเสริม ไชยณรงค์
รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า
ขณะนี้ได้มีกลุ่มบริษัทออกมาตระเวนหลอกลวงชาวบ้านหลายจังหวัดในเขตพื้นที่
ภาคอีสาน ให้ปลูกต้นตะกูยักษ์ในเชิงพาณิชย์
โดยแอบอ้างชื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน และเกษตรกรในเขตพื้นที่ภาคอีสานแล้วกว่า
8,000 ราย อีกทั้งยังมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนถูกหลอกอีก 24 กลุ่ม

โดยกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้อ้างว่า
การปลูกต้นตะกูยักษ์ลงทุนไร่ละประมาณ 25,000 บาท จะมีผลตอบแทนสูงถึงไร่ละ
300,000-335,000 บาท เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหลงเชื่อ
ทางสำนักงานคณะกรรมการพิเศษประสานงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จึงได้แจ้งให้ทุกจังหวัดได้ออกประกาศเตือนเกษตรกร
พร้อมให้ตรวจติดตามพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าว
หากพบให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มบุคคล
ดังกล่าวต่อไป

"หาก ประชาชน หรือเกษตรกรรายใด พบเห็นผู้ที่มีพฤติกรรมหลอกลวง
โดยแอบอ้างชื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราษฎรในลักษณะหลอกลวง ฉ้อโกง
ให้แจ้งทางจังหวัด อำเภอ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อจะได้เข้าไปตรวจสอบเอาผิดกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวต่อไป" นายเสริม
กล่าว

สั่งปิด ร.ร.ดังบุรีรัมย์ 5 วันหลังพบ นร.ป่วยหวัด 09 อื้อ

บุรีรัมย์ - โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ปิดเรียน 3 วัน รวมเสาร์-อาทิตย์
เป็น 5 วัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009
หลังพบนักเรียนติดเชื้อ 6 คน
ประกอบกับทางโรงเรียนคัดกรองนักเรียนพบป่วยเป็นไข้หวัดจำนวนมาก
เผยทั้งจังหวัดพบผู้ป่วยหวัดใหญ่สายพันธุ์แล้ว 61 ราย

วันนี้ (22 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาประจำจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีนักเรียนกว่า
3,000 คน ได้สั่งปิดการเรียนการสอนเป็นการชั่วคราว 3 วัน รวมวันหยุดเสาร์
และ อาทิตย์เป็น 5 วัน
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ขยายวงกว้าง หลังพบเด็กนักเรียนป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
2009 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ จำนวน 6 คน

ประกอบกับทางโรงได้มีการคัดกรองนักเรียน พบว่า
มีนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัดเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการสั่งหยุดเรียน
เพื่อให้นักเรียนไปรักษาและพักฟื้นรอดูอาการที่บ้าน
เพราะหากยังเปิดทำการเรียนสอนต่อไปเกรงว่านักเรียนในโรงเรียนจะติดเชื้อ
เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ อีกทั้งในสัปดาห์หน้าจะมีการสอบกลางภาค
จึงปิดให้เด็กมีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย

ขณะนี้ทั้งจังหวัดบุรีรัมย์พบผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 161 ราย ใน 22 อำเภอ
ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อจำนวน 61 ราย
และยังรอผลตรวจยืนยันจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ อีก 35 ราย

ด้าน นายณรงค์ แผ้วพลสง ผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่การศึกษา
(ผอ.สพท.)บุรีรัมย์ เขต 1 ระบุว่า ขณะนี้ได้กำชับให้ทุกโรงเรียนในสังกัด
ได้มีการเฝ้าระวังคัดกรองนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
หากโรงเรียนใดพบว่ามีเด็กต้องสงสัย หรือป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009
ก็ให้ผู้บริหารโรงเรียน
ใช้ดุลพินิจในการที่จะสั่งปิดการเรียนการสอนได้ตามสมควรต่อสถานการณ์
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ออกไป
เป็นวงกว้าง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082921

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วอนช่วยเหลือ! หนูน้อยบุรีรัมย์ไม่มีเปลือกตา - ซ้ำไตข้างเดียว คอตีบ ท่อปัสสาวะผิดปกติ

บุรีรัมย์ - สลด! "น้องอาทิตย์" หนูน้อยชาวบ้านด่านบุรีรัมย์วัยขวบเศษ
เกิดมาไม่มีเปลือกตา มีเพียงหนังหุ้มมองไม่เห็นทั้งสองข้างตั้งแต่เกิด
ซ้ำร้ายมีไตข้างเดียว คอตีบ และท่อปัสสาวะผิดปกติ
แพทย์รักษามาตั้งแต่เกิดปัจจุบันยังอยู่ในโลกมืด
พ่อแม่หวังลูกมีชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปแม้ริบหรี่ วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ
เผยครอบครัวยากจน

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีเด็กชายเกิดมาผิดปกติ
ไม่มีเปลือกตาทั้งสองข้าง มองไม่เห็น จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่บ้านเลขที่
19 หมู่ที่ 8 บ้านหนองนา ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พบนางสาวลำยง
ไชยสำโรง อายุ 42 ปี และนายวิพัฒ หงษ์จินดา อายุ 35 ปี สองสามีภรรยา
กำลังช่วยกันดูแล ด.ช.ศุภฤกษ์ หงษ์จินดา หรือ "น้องอาทิตย์" ลูกชายวัย 1
ขวบ 3 เดือน

นางสาวลำยง แม่น้องอาทิตย์เปิดเผยว่า ลูกชายเกิดมาผิดปกติ
ดวงตามีเพียงหนังหุ้มแต่ไม่มีเปลือกตาทั้งสองข้าง
ทำให้มองไม่เห็นตั้งแต่เกิด แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็น "โรคเฟรเซอร์
ซินโดรม" (Fraser Syndrome)
เด็กมีอาการระคายเคืองตาหงุดหงิดร้องไห้งอแงตลอดเวลา
อีกทั้งท่อปัสสาวะยังผิดปกติ รูปัสสาวะอยู่ใต้อวัยวะเพศ และกล่องเสียงตีบ

ซ้ำร้ายน้องอาทิตย์ยังป่วยเป็นโรคไต ไม่มีไตข้างขวา
ไตข้างซ้ายเล็ก พ่อและแม่ต้องพาไปฟอกไตที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรุงเทพฯ
ทุกเดือน ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางพาลูกไปรักษา เนื่องจากสามี
เมื่อก่อนประกอบอาชีพเป็นช่างเชื่อมเหล็กดัด ที่กรุงเทพฯ
ส่วนตนทำงานเย็บผ้าในโรงงาน กรุงเทพฯ
แต่หลังจากคลอดลูกต้องลาออกจากงานมาดูแลลูกอย่างใกล้ชิด
ตอนนี้กลับมาช่วยกันทำนาไม่ได้ทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ
ทำให้ประสบปัญหาค่าใช้จ่ายในครอบครัว

นางลำยงกล่าวต่อว่า หลังจากนำลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
แต่แพทย์ไม่สามารถทำการผ่าตัดรักษาได้
จึงส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเดือน พ.ค.2552
หมอได้กรีดตาข้างซ้าย และบอกว่าเป็นพังผืดที่ดวงตา
และมีเลือดออกมากยังทำอะไรไม่ได้ ซึ่งโอกาสที่จะสามารถมองเห็นได้น้อยมาก

"หมอ จึงนัดไปใหม่ในวันที่ 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้ จะกรีดดวงตาทั้ง 2
ข้าง แต่ก็ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าน้องอาทิตย์ จะสามารถมองเห็นได้หรือไม่
ซึ่งคงต้องรอความหวังอย่างเดียว หรือรอรับบริจาคดวงตา" นางลำยง กล่าว

นางลำยงกล่าวต่อว่า ส่วนโรคไตของน้องอาทิตย์ก็เริ่มดีขึ้น
หมอนัดไปฟอกไตตลอด และให้ยามารับประทาน สำหรับท่อปัสสาวะผิดปกติ
หมอบอกว่าต้องรอให้เด็กอายุครบ 2 ขวบเสียก่อน จึงจะต่อท่อปัสสาวะได้
เนื่องจากน้องอาทิตย์ปัสสาวะลงล่างไม่ได้ปัสสาวะตามท่อเหมือนคนปกติทั่วไป
สำหรับกล่องเสียงตีบ หมอบอกว่าคงต้องรอดูสภาพร่างกายของน้องอาทิตย์ ก่อน

"รู้สึกสงสารลูกที่เกิดมาพิการไม่ปกติเหมือนเด็กปกติทั่วไป
พ่อกับแม่ได้แต่เฝ้ารอว่าสักวันลูกจะลืมตามาดูโลกได้
ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าลูกจะหายจากอาการป่วยกลับมามีสภาพปกติเหมือนเด็กทั่วไป
ถึงแม้จะเลือนรางบ้างก็ตาม
พ่อแม่ก็จะอดทนต่อสู้เพื่อลูกจนถึงที่สุดเพราะมีลูกคนเดียว
จึงวิงวอนขอความช่วยเหลือ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงิน
หรือทรัพย์สินเพียงพอที่จะขายมารักษาลูก" นางลำยงกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

ทั้ง นี้ หากผู้ใจบุญ หรือผู้มีจิตศรัทธาต้องการช่วยเหลือ
และแบ่งปันความเมตตาช่วย "น้องอาทิตย์" วัย 1 ขวบ 3 เดือน
สามารถบริจาคได้ที่ชื่อบัญชี น.ส.ลำยง ไชยสำโรง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
สาขาอ่อนนุช 69 บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 403-1-16588-6
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษา "น้องอาทิตย์"
ให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ปกติเหมือนเด็กทั่วไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081735